นักดาบอีก 2 คนที่เหลืออยู่ เป็นนักดาบระดับสูงและระดับกลาง แต่ฝีมือระดับฟีบี้แค่คนเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ทั้ง 2 คนไม่สามารถหนีรอดพ้นจากความตายได้ และยิ่งหานซั่วหันกลับมาสู้ก็ยิ่งทำให้พวกนั้นถึงคราวเคราะห์ไวขึ้น
แหวนมิติสว่างวาบขึ้นอีกครั้ง แล้วหานซั่วก็ได้หน้าไม้มาถือไว้ในมือ เขารีบขึ้นสายและเล็งไปยังหลังของนักดาบระดับสูงที่กำลังหนีพาตัวเองออกไปให้ไกลจากการต่อสู้ทันที
นักดาบระดับสูงที่เตรียมตัวหนีในทีแรกจำเป็นต้องหันมาทำลายลูกธนูที่ยิงมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ทันทีที่เขาทำลายลูกธนูสำเร็จ ฟีบี้ก็ยืนอยู่เบื้องหน้าของเขาแล้ว
อีกด้านหนึ่ง เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กที่แทงนักเวทย์ธาตุไฟจนตายก็ถือถุงใบหนึ่งไว้ในมือ ก่อนจะกระโดดลงมาจากหลังคา ทันทีที่ถึงพื้นโดยร่างโซเซเล็กน้อย มันก็มายืนถือกริชกระดูกอยู่ตรงหน้านักดาบระดับกลางอีกคน
ชั่ววินาทีที่หานซั่วพุ่งเข้าใส่พร้อมรอยยิ้มเยือกเย็น นักดาบคนหนึ่งก็รีบใช้ดาบยาวเชือดคอตัวเอง และร่วงลงไปกองกับพื้นทันที
“คนพวกนี้เป็นนักฆ่าของ “ปีศาจเงา”
ถ้ารู้ว่าหนีไม่รอดแล้ว พวกมันก็จะเลือกปลิดชีวิตตัวเองแทน”
ฟีบี้นิ่วหน้าพูดพลางส่ายหัว ขณะที่เก็บดาบยาวของเธอกลับเข้าไปในแหวนมิติ
เมื่อเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กยืนอยู่เบื้องหน้าศพของคนทั้งคู่ มันก็เริ่มค้นตัวศพด้วยท่าทีชำนิชำนาญ จนได้ถุงอีก
2 ใบมาถือไว้ในมือ ก่อนจะเดินกลับไปหาหานซั่วอย่างร่าเริง และยื่นถุงทั้ง 3 ใบให้เขา
หานซั่วยิ้มให้เจ้าโครงกระดูกตัวเล็กด้วยความเอ็นดู แล้วก็รับถุงทั้งหมดมา แต่แล้วก็ต้องสบถดังลั่นเมื่อกวาดตามองสิ่งที่อยู่ภายในถุงเพียงแว่บเดียว
“บ้าเอ๊ย เจ้าพวกยาจกนี่ รวมกันแล้วมีเงินกันแค่ 10 เหรียญทองแค่เนี้ย
!”
ฟีบี้กลอกตามองเขาด้วยความระอาสุดขีด เพราะฟีบี้ไม่ได้ค้นตัวศพ จึงหันไปพูดกับหานซั่ว
“ข้าไม่เคยเห็นใครละโมบโลภมากเท่าเจ้ามาก่อนเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปค้นตัวพวกมันหรอก ยังไงเจ้าก็คงไม่พบอะไรอยู่ดี เพราะคนของ
“ปีศาจเงา” ไม่เคยพกของมีค่าติดตัวเวลาออกทำภารกิจอยู่แล้ว ลืมมันซะเถอะ
ค้นไปก็ไม่ได้ทำให้เจ้ารวยขึ้นมาหรอก”
หานซั่วบ่นอุบอีกครั้งเมื่อได้ยินที่ฟีบี้พูด จากนั้นก็ร่ายเวทย์ส่งเจ้าโครงกระดูกตัวเล็กกลับไปยังมิติอื่นทันที แต่แล้วเขาก็ยิ้มและหันไปถามฟีบี้อย่างอ่อนโยน
“ท่านกลับไปกับท่านแอนดรูว์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมอยู่ดี
ๆ ก็กลับมาล่ะ?”
“เจ้าบาดเจ็บนี่นา
!”
ฟีบี้ตกใจและรีบวิ่งมาหาหานซั่ว เมื่อเธอเห็นเลือดจากแผลที่โดนเวทย์คมดาบวายุโจมตีบนร่างของเขา ฟีบี้มีท่าทีเป็นห่วงเป็นใยทันที ก่อนจะรีบเรียกผ้าพันแผลและยาขวดหนึ่งออกมาจากแหวนมิติที่มือ เธอพูดอย่างอ่อนโยนโดยไม่เอียงอายเลยแม้แต่น้อย
“อยู่นิ่ง ๆ ก่อนนะ”
เพราะหานซั่วแทบไม่เคยเห็นฟีบี้มีท่าทีแบบนี้ จึงรู้สึกซาบซึ้งอยู่เงียบ ๆ ในใจ เขายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น ขณะที่เฝ้ามองฟีบี้ค่อย ๆ ทายาลงบนแผลของเขาอย่างระมัดระวัง และใช้ผ้าพันแผลให้เขาอย่างเรียบร้อย
ทันทีที่ทำแผลเสร็จ ฟีบี้ก็ดึงตัวหานซั่วเข้ามาก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบา ๆ
“เจ้านี่เลือกสถานที่ได้ดีจริง ๆ คฤหาสน์ทั้ง 2 ฝั่งของตรอกนี้ไม่มีใครอยู่ หรือต่อให้อยู่ เจอการต่อสู้รุนแรงขนาดนี้เข้าไป ก็ไม่มีใครกล้าออกมาอยู่ดี ดูเหมือนจะยังไม่ได้ประกาศขายเลยด้วย เอาเถอะ
เราไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป ถึงความปลอดภัยบริเวณนี้จะไม่ค่อยแน่นหนาเท่าไหร่ แต่อีกไม่นานก็คงมีทหารลาดตระเวนผ่านมาแน่ ๆ พวกเรารีบไปกันดีกว่า”
“งั้นก็ไปกันเถอะ”
หานซั่วตอบตกลงและรีบตามฟีบี้ไปทันที มุ่งสู่ทางตอนเหนือของเมือง และระหว่างนั้นเขาก็ถามเธอขึ้นมา
“จริงสิ ท่านยังไม่ตอบข้าเลย ว่าทำไมอยู่ดี
ๆ ถึงได้โผล่มาที่นี่?”
เมื่อเห็นว่าบริเวณนั้นไม่มีใครอยู่ ฟีบี้ก็นิ่วหน้าตอบเขาด้วยเสียงแผ่วเบา
“ท่านปู่แอนดรูว์เล่าให้ข้าฟังตอนอยู่บนรถม้า ว่าโกรเวอร์แอบทำการค้าอย่างลับ ๆ กับพวกออร์คป่าเถื่อน โดยลักลอบขายอาวุธของจักรวรรดิให้พวกมัน ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มาก หากจักรวรรดิรู้เข้า คงไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่
และโกรเวอร์ก็คงรู้ดีว่าถ้าข้าได้เข้าไปบริหารสมาคมจริง ๆ เขาก็จะปิดบังความจริงเรื่องนี้กับใครไม่ได้อีก เขาจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงการรับโทษของจักรวรรดิให้ได้ด้วยพลังและอำนาจทุกอย่างที่มี และทันทีที่ข้ารู้เรื่องนี้ ข้าก็คิดว่าโกรเวอร์จะต้องฆ่าเจ้าก่อนเป็นคนแรกแน่ ๆ ข้าถึงได้ผละจากท่านปู่แอนดรูว์ออกมาระหว่างทางเพื่อมาตามหาเจ้า”
หานซั่วพยักหน้า
“อย่างงี้นี่เอง ไม่สงสัยเลยว่าทำไมโกรเวอร์ถึงอยากรีบฆ่าพวกเรานัก เพราะทันทีที่ท่านหาหลักฐานได้เมื่อไหร่ โกรเวอร์ก็จบเห่แน่ ๆ”
“ใช่แล้วล่ะ
!”
ฟีบี้หัวเราะอย่างเย็นชา แต่แล้วเธอก็ถอนหายใจหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“แต่สุดท้าย เอลลิสก็รู้ถึงพลังของข้าเข้าจนได้ ข้าคิดว่าโกรเวอร์คงพยายามวางแผนอะไรสักอย่าง แล้วข้าก็จะรับมือกับการโจมตีของพวกนักฆ่าได้ยากขึ้นกว่าเดิมแน่ๆ”
หานซั่วรู้ว่าพลังของเขายังมีจำกัด หากพลังระดับฟีบี้เกิดรับมือไม่ไหวขึ้นมา เขาเองก็คงทำอะไรได้ไม่มากนัก สิ่งเดียวที่เขาสามารถช่วยฟีบี้ได้ก็มีเพียงการรับรู้ความเคลื่อนไหวของพวกนักฆ่าเท่านั้น เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง
“งั้นข้าหลบไปสักพักดีกว่า แล้วข้าจะกลับมาหาท่านอีกหลังจากที่แผลหายดี ตอนนี้โกรเวอร์เป็นศัตรูของพวกเราทั้งคู่แล้ว ข้ารู้ว่าต้องทำยังไง”
“ตกลง แต่ไม่ว่ายังไง ห้ามกลับไปที่วิทยาลัยเด็ดขาดเลยนะ เพราะโกรเวอร์รู้แล้วว่าเจ้าคือใคร เจ้าจะเจออันตรายอย่างใหญ่หลวงแน่ ๆ ถ้ากลับไปที่นั่น
!”
ฟีบี้นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะร้องบอกเขา
หานซั่วพยักหน้าตอบรับ เขาเตือนฟีบี้ให้ดูแลตัวเองให้ดี ก่อนจะจากมาตามลำพัง ปีศาจปฐมภูมิทั้ง 3 ตนตรวจไม่พบสิ่งใดอีกเลยจนกระทั่งหานซั่วมาถึงสุสานที่อยู่ด้านหลังวิทยาลัยอย่างปลอดภัย
เมื่อกลับมายังสุสานแห่งความตายแล้ว หานซั่วก็ฝึกพลังเวทมนตร์ต่ออีกหน่อย ความรู้สึกเย็นแผ่ซ่านไปรอบ ๆ บาดแผลขณะที่เขาโคจรแก่นมนตราไปยังบริเวณนั้น แล้วแผลที่เคยรู้สึกเจ็บก็ลดลงไปมาก
หลังจากที่หานซั่วนอนหลับไป เขาก็ตื่นมาอีกครั้งในเวลาเที่ยงวันของวันรุ่งขึ้น และในเมื่อรวบรวมวัตถุดิบสำหรับสร้างอาวุธได้ครบแล้ว หานซั่วก็รีบออกจากสุสานแห่งความตายและมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านคนแคระด้วยความกระตือรือร้น เพื่อขอให้หัวหน้าเผ่าคาลวินสร้างคมมีดพิชิตมารให้เขา
หมู่บ้านคนแคระตั้งอยู่ในหุบเขาเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง โดยมีหมู่ต้นไม้ใหญ่โตบดบังทางเข้าหมู่บ้านเอาไว้ หากไม่ใช่เพราะว่าหานซั่วเคยมาที่นี่กับพวกคนแคระแล้วครั้งหนึ่ง เขาอาจจะหาถิ่นที่อยู่ของพวกคนแคระไม่เจอเลยก็เป็นได้
หานซั่วคุ้นชินกับเส้นทางแล้ว จึงมาถึงขอบเขตหมู่บ้านคนแคระได้ในเวลาไม่นาน เขาเดินผ่านต้นไม้สูงใหญ่ไปหลายต้น จนมาเจอกับคนแคระคนหนึ่งที่กำลังยืนยามหน้าหมู่บ้านพร้อมกับขวานคนกริบในมือ เขาร้องขึ้นอย่างเป็นมิตรทันทีที่เห็นหานซั่ว
“โอ้ สหายข้า
แวะมาเยี่ยมพวกเราอีกแล้วรึ
!”
หานซั่วเดินตามหลังคนแคระผู้นั้นไปตามเส้นทางเล็ก ๆ ที่มีพุ่มไม้ขึ้นอยู่หนาแน่นตามสองข้างทาง และในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้าน ซึ่งคาลวิน
เบ็นเน็ตต์ และคนอื่น ๆ กำลังรอต้อนรับหานซั่วด้วยความปิติยินดีทันทีที่ได้ยินข่าว และไวน์ชั้นดีก็ถูกยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว
เหล่าคนแคระอาศัยอยู่ในกระท่อมไม้ซุงที่พวกเขาสร้างด้วยตัวเอง บางคนก็อาศัยในโพรงต้นไม้ใหญ่ ในหมู่บ้านมีคนแคระอยู่กันประมาณ 100 คนเท่านั้น ครึ่งหนึ่งเป็นเด็กและผู้หญิง ส่วนชายนักรบ
ที่สามารถสู้รบได้จริง ๆ กลับมีไม่ถึงครึ่ง
หานซั่วเอาชนะใจและได้รับมิตรภาพที่เที่ยงแท้จากเหล่าคนแคระในช่วงที่ผ่านมา ทำให้พวกเขาโอบอ้อมอารีกับหานซั่วเป็นอย่างมาก เมื่อใดก็ตามที่หานซั่วแวะมาหา ไวน์และเนื้อชั้นดีจะถูกจัดเตรียมเพื่อต้อนรับเขาเสมอ จนหานซั่วรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก
“หาน ทำไมวันนี้ถึงมีเวลาแวะมาได้ล่ะ?”
คาลวินถามหานซั่วอย่างอารมณ์ดี
หานซั่วเอาวัตถุดิบที่ฟีบี้เตรียมไว้ให้ทั้งหมดออกมาจากแหวนมิติ และส่งให้คาลวิน
“ท่านผู้เฒ่า นี่เป็นวัตถุดิบทั้งหมดที่ท่านร้องขอ รวมเหล็กสีนิลที่เก็บมาได้เพียงพอแล้ว ท่านสร้างอาวุธให้ข้าหน่อยได้มั้ยครับ?”
คาลวินรับวัตถุดิบมาจากหานซั่ว และพินิจพิจารณพวกมันอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอน แน่นอนที่สุด
! เท่านี้ก็สามารถสร้างอาวุธชั้นเยี่ยมได้แล้ว เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับพวกเราจริง ๆ ไม่ต้องห่วงนะ หาน พวกเราจะเริ่มลงมือกันวันพรุ่งนี้เลย อาวุธของเจ้าจะเสร็จภายใน 1 สัปดาห์ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องพอใจกับมันมากแน่ ๆ”
เมื่อคาลวินยืนยันเช่นนั้น หานซั่วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและรีบขอบคุณเขาจากใจจริงทันที ตอนนั้นเอง
ที่เสียงบ่นพึมพำเบา ๆ ของเหล่าคนแคระหญิงก็ดังอยู่ไกล ๆ แต่เพราะประสาทรับเสียงของหานซั่วเฉียบคมมาก เขาจึงได้ยินสิ่งที่พวกหล่อนคุยกันโดยไม่ตั้งใจ
“เฮ้อ นี่ก็ใกล้ฤดูหนาวเข้าไปทุกที ไม่รู้ว่าพวกเราจะมีเสบียงอาหารเพียงพอสำหรับช่วงหิมะตกครั้งใหญ่รึเปล่า แล้วหัวหน้าเผ่าก็เบิกอาหารออกมาตั้งหลายครั้งเพื่อรับรองแขก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกเราจะมีชีวิตรอดจนพ้นหน้าหนาวกันมั้ยล่ะนี่?”
“ก็นั่นน่ะสิ ข้าเองก็ได้ยินมาว่าหมู่นี่มีพวกอสูรกินคนมาป้วนเปี้ยนแถวนี้อยู่บ่อย ๆ ดูเหมือนว่าพวกมันก็ออกล่าเพื่อปล้นสะดมเสบียงอาหารตุนไว้รอฤดูหนาวเหมือนกัน ถ้าพวกมันเจอหมู่บ้านของพวกเราเข้าล่ะก็ มีหวังพวกเราคงต้องย้ายที่อยู่กันอีก เมื่อไหร่เรื่องแบบนี้จะจบลงสักทีนะ
!”
หานซั่วได้ยินบทสนทนาของพวกคนแคระหญิงทั้งหมด ยิ่งทำให้เขาซาบซึ้งในน้ำใจของคาลวินมากขึ้นไปอีก ดูเหมือนว่าชีวิตของพวกคนแคระจะไม่ได้สุขสบายอย่างที่คิด แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ยังนำอาหารที่ดีที่สุดมาเลี้ยงต้อนรับ ทำให้เขารู้สึกผิดไม่น้อย
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบา
“ท่านผู้เฒ่า ท่านยอมรับข้าเป็นเพื่อนรึเปล่าครับ?”
“หาน ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?” พวกเราปฏิบัติกับเจ้าไม่ดีตรงไหนรึเปล่า?”
เบ็นเน็ตต์ ซึ่งดีกับหานซั่วมากเป็นพิเศษ เป็นคนแรกที่อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจและจ้องมองเขาอย่างตกตะลึงก่อนที่คาลวินจะทันได้อ้าปากพูดอะไร
หานซั่วส่ายหัว พลางถอนใจ
“พวกท่านกำลังกังวลเรื่องเสบียงอาหารและพวกอสูรกินคน แต่ทำไมท่านถึงไม่ยอมบอกปัญหาเรื่องนี้กับข้า ทั้ง ๆ ที่ข้าเป็นเพื่อนของพวกท่านล่ะ?”
“แบบนี้ไม่ดีแน่ ในเมื่อท่านผู้เฒ่ายินดีนำเสบียงอาหารที่ตุนไว้สำหรับหน้าหนาวมาเลี้ยงต้อนรับข้า ในฐานะเพื่อนของพวกท่าน ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่ต้องกังวลนะครับท่านผู้เฒ่า ข้าจะไปยังเมืองของมนุษย์และช่วยท่านแก้ปัญหาเรื่องเสบียงสำหรับฤดูหนาวนี้เอง นอกจากนี้แล้ว
ท่านยังต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกมั้ยครับ?
ข้าจะหามาให้ท่านทุกอย่างเลย”
“จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงกัน? พวกเราเป็นเพื่อนกันก็จริง แต่จะไปรบกวนเจ้ามากถึงขนาดนั้นไม่ได้หรอก เราเองก็อยากหาซื้อเสบียงพวกนี้จากเมืองของมนุษย์อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าระยะทางระหว่างหมู่บ้านของเราในป่าทมิฬแห่งนี้อยู่ห่างไกลจากเมืองของมนุษย์มากเท่านั้นเอง ถ้าไม่นับรวมพวกสัตว์วิเศษที่จะคอยโจมตีพวกเราระหว่างการเดินทางแล้ว พวกเราก็อาจไปเจอพวกมนุษย์ที่คอยประสงค์ร้ายเข้าอีก เพราะเหตุผลนี้ล่ะ พวกเราถึงต้องอาศัยกันอยู่แค่ที่นี่”
“หาน ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจจะไปซื้อเสบียงเหล่านั้นมาให้พวกเรา ซึ่งมันต้องใช้เงินของเจ้าเป็นจำนวนมากแน่ ๆ พวกเรารบกวนเจ้าขนาดนั้นไม่ได้หรอก ข้าคิดว่า
พวกเราก็แค่พยายามกันให้มากขึ้นอีกสักหน่อย แล้วก็คงผ่านพ้นฤดูหนาวครั้งนี้กันได้เองแหละ”
คาลวินกล่าว
“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะช่วยพวกท่านคิดหาทางรับมือกับปัญหาเสบียงอาหารสำหรับฤดูหนาวและพวกอสูรกินคนเอง ท่านแค่ใส่ใจเรื่องการสร้างอาวุธอย่างเต็มที่ก็พอ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเองนะครับ”
หานซั่วคิดคำนวณในใจ ทั้งหมู่บ้านคนแคระนี้น่าจะมีกันราว ๆ 100 คน ถ้ากะดูจากขนาดความจุของแหวนมิติของเขาแล้ว หานซั่วอาจจะต้องเดินทางไป ๆ มา ๆ หลายครั้งอยู่สักหน่อยเพื่อนำอาหารปริมาณมากกลับมายังสุสานแห่งความตาย และถ้าเขาซื้ออาหารจากฟีบี้ อาจทำให้ไม่ต้องใช้เหรียญทองซื้อในราคาที่สูงเท่าท้องตลาด จึงเป็นภารกิจที่เขาค่อนข้างสะดวกอยู่พอสมควร และหานซั่วเองก็เต็มใจและมีความสุขที่ได้ทำเพื่อพวกคนแคระด้วย
“ขอบคุณท่านมาก ข้าขอขอบคุณแทนลูกหลานและมารดาของพวกเขาจากทั้งหมู่บ้านเลยจริง ๆ
!”
คนแคระหญิงคนหนึ่งบังเอิญได้ยินที่หานซั่วพูดตอนที่เธอนำผลไม้มาเสิร์ฟ และรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง เธอรีบขอบคุณหานซั่วอย่างสุภาพนอบน้อมที่สุดที่คนแคระผู้หนึ่งพึงกระทำ
“เจ้าออกไปก่อน”
คาลวิลเตือนเธอ ก่อนจะหันมาขอบคุณหานซั่ว
“หาน พวกเราทำได้เพียงบ่มไวน์ชั้นดีและสร้างอาวุธ แต่เพราะพวกเราแทบไม่ได้ติดต่อกับมนุษย์ จึงทำให้ไม่มีเหรียญทองมากมายเท่าไรนัก เราจะบ่มไวน์ที่ดีที่สุดและสร้างอาวุธให้ท่านเป็นการแลกเปลี่ยน ไม่อย่างนั้น
พวกเราคงรับความปรารถนาดีของเจ้าไว้ไม่ได้แน่ ๆ”
แม้ว่าหานซั่วไม่ได้ต้องการไวน์และอาวุธจากพวกเขา แต่เขาก็เข้าใจนิสัยที่ดื้อดึงและหัวแข็งของพวกคนแคระเป็นอย่างดี พวกเขาจะไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขาหากปราศจากเหตุผลที่สมควร เขาจึงยอมรับข้อตกลงนั้นหลังจากคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง
ด้วยคำมั่นสัญญาเรื่องเสบียงสำหรับฤดูหนาวของหานซั่ว เหล่าคนแคระทุกคนต่างตื่นเต้นดีใจ แม้แต่คาลวินยังยอมดื่มฉลองกับหานซั่วอย่างสำราญใจในโอกาสที่หาได้ยากยิ่งเช่นนี้ เขาต้องยอมรับว่าไวน์จากฝีมือการบ่มของพวกคนแคระนั้นหวานนุ่มลิ้นเป็นอย่างมาก แม้แต่ไวน์รสเลิศที่เขาเคยดื่มที่งานเลี้ยงสังสรรค์ของสมาคมพ่อค้าตระกูลบูซท์ในคืนที่ผ่านมาก็ยังเทียบไม่ติด
หานซั่วเองก็อารมณ์ดีสุดขีดหลังจากมั่นใจเรื่องคมมีดพิชิตมารของเขาแล้ว จึงอยู่ดื่มฉลองกับเหล่าคนแคระทั้งคืน อย่างไรก็ตาม
ด้วยความสามารถจากการฝึกพลังเวทมนตร์
เขาจึงสร่างเมาได้ในเวลาไม่นานเพราะแก่นมนตรา เขาจึงออกจากหมู่บ้านคนแคระด้วยความตื่นตัว ขณะเดินทางกลับสู่สุสานแห่งความตาย
ก่อนการเข้าฌาน หานซั่วไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจทดสอบขีดจำกัดที่เคยหยุดยั้งเขาไว้ไม่ให้ลงไปสู่ชั้นที่ลึกลงไปของสุสานแห่งความตาย เพราะหานซั่วอยากรู้ว่า…ด้วยพลังจิตที่เขาเฝ้าฝึกฝนมาจนถึงตอนนี้จะสามารถทะลุผ่านม่านพลังที่เคยกั้นไว้ได้หรือไม่
หลังจากใช้ลูกแก้วสีเขียวเปิดทางออก หานซั่วก็ลงไปยังอุโมงค์ใต้ดินนั่นทันที และตอนนั้นเอง
ความเจ็บปวดราวกับโดนบีบหัวอย่างรุนแรงก็พุ่งพล่านขึ้นในหัวของเขา แต่เพราะความเคยชินที่เคยสัมผัสเมื่อใช้ลูกแก้วสีเขียวในการฝึกฝนเพื่อเพิ่มปริมาณพลังจิต ทำให้หานซั่วสามารถทนต่อการโจมตีอย่างฉับพลันนั้นได้ เขาโคจรแก่นมนตราด้วยความสามารถถึงขีดสุด และค่อย
ๆ เดินทางต่อไปยังพื้นที่เบื้องล่าง
……………………………………………..