I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 6 เซียวหนิงเอ๋อร์

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 5772 | 2535 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“เนี่ยหลี ไอ้ตัวบัดซบ บังอาจบอกให้ข้าเป็นเหยื่อล่อ บังอาจเกินไปแล้ว!”

‘ลู่เปียว’มองแกะมีเขาที่กำลังพุ่งเข้าหาเขา นั่นทำให้เขาหวาดกลัวแทบคลั่งจนสะดุดขณะวิ่งถอยหลัง  ขณะเดียวกัน’ตู้เจ๋อ’กับ’เนี่ยหลี’ซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ ในมือของทั้งสองถือหน้าไม้ไว้แน่น

“มารดามันเถอะ แกะมีเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว ยิง ยิงเร็วเข้า”

‘ลู่เปียว’ร้องตะโกน เมื่อเขาพบว่าแกะมีเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เด็กชายวิ่งหนีไม่หยุด

“ลู่เปียวตัวโง่เขลา ไม่ใช่เราตกลงกันแล้วหรืออย่างไรว่าให้ยืนเฉยๆ ห้ามวิ่ง? แกะมีเขาจะติดกับดักไปเอง ครั้นวิ่งแบบนี้ แกะก็หนีรอดจากกับดักไปได้สิ”

‘เนี่ยหลี’บ่น

กับดักนั้นเล็กมาก เป็นหลุมกว้างเพียงสองนิ้วมือ แต่เมื่อแกะมีเขาตกลงไป ขาของมันหักแน่นอน เมื่อยิงหน้าไม้ใส่เป้านิ่งเช่นนั้น แน่นอนว่าต้องได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า เห็น’ลู่เปียว’วิ่งอย่างตื่นตระหนก ตู้เจ๋อเองก็ลนลานเช่นกัน มือกระหน่ำยิงหน้าไม้ไม่หยุดยั้ง เสียงซู่ๆแหวกอากาศของหน้าไม้ดูน่าเกรงขามยิ่ง แกะมีเขาเหล่านี้เป็นสัตว์ที่มีจิตภูติแฝง เมื่อยังไม่ได้รับบาดเจ็บจึงมีปฏิกริยาโต้ตอบสูงยิ่ง เมื่อพวกมันรู้สึกถึงหน้าไม้ที่ยิงเข้ามาก็กระโดดอยู่สองสามคราอย่างรวดเร็วหลบหน้าไม้ไปได้ทั้งสิ้น

“อะไรกัน พลาดรึ?”

‘ลู่เปียว’หน้าเสียเมื่อแกะมีเขาเข้าใกล้เขามากขึ้น

เขาคิดว่า’เนี่ยหลี’กับ’ตู้เจ๋อ’พลาดเสียแล้ว หัวใจของเด็กชายร้องไห้ปานจะฉีกขาด เด็กชายคิดว่าเขาเลือกเพื่อนผิด ถ้าแกะมีเขาเข้าใกล้ตัวเขาได้ ก้นของเด็กชายคงกลายเป็นรูโหว่ซะแล้ว เมื่อเห็นว่าแกะมีเขาหลบลูกธนูได้และยังคงไล่กวดลู่เปียวต่อ สองมือของ’ตู้เจ๋อ’ก็เต็มไปด้วยเหงื่อชุ่มโชก ถึงเขาจะพยายามขึ้นสายหน้าไม้ แต่ยังดูเหมือนจะสายเกินไป เด็กชายจินตนาการเห็นภาพก้นของ’ลู่เปียว’โดนแทงด้วยเขาของแกะเต็มรักในศีรษะได้เลยทีเดียว

“เนี่ยหลี ข้าควรทำอย่างไรดี….”

‘ตู้เจ๋อ’เงียบในทันใดหลังพูดไปได้ครึ่งคำด้วยเกรงจะรบกวนสมาธิของ’เนี่ยหลี’

‘เนี่ยหลี’นั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง แขนซ้ายประคองหน้าไม้ตั้งตรง มือขวาวางอยู่บนไกเหนี่ยว สายตามองไกล หน้าไม้ในมือนั้นมั่นคงประดุจวางอยู่บนแท่น  ‘ตู้เจ๋อ’พูดไม่ออก เด็กชายยังไม่ลั่นไกหาก’ตู้เจ๋อ’กลับรู้สึกได้ว่าเมื่อยิงออกไปต้องโดนเป้าอย่างแน่นอน ขณะนี้’เนี่ยหลี’เป็นดั่งพยัคฆ์ซุ่มรอเหยื่อ เด็กชายถึงกลับเปล่งรังสีอำมหิตออกมา

แม้ร่างกายจะอ่อนด้อยด้วยการบำเพ็ญยังไม่บรรลุชั้นสำริด แต่ประสบการณ์มากล้นในอดีตชาติยังคงอยู่ ประสบการณ์ที่สะสมมาด้วยการต่อสู้อาบเลือด บ้างเป็นประสบการณ์เฉียดตาย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธใด ดาบ หน้าไม้ หรือแม้แต่เศษเหล็ก เมื่อผ่านมือของ’เนี่ยหลี’ล้วนกลายเป็นอาวุธสังหารทั้งสิ้น แม้เขายังไม่ถึงขั้นหนึ่งดาวสำริด แต่เขามีวิธีสังหารผู้ที่อยู่ระดับสำริดหรือแม้แต่ระดับเงินอยุ่นับไม่ถ้วน

เสมือนรอบตัวมีเขาเพียงผู้เดียว นัยน์ตาของ’เนี่ยหลี’จับจ้องประหนึ่งพญาเหยี่ยวจับจ้องรอตะครุบเหยื่อ  ‘เนี่ยหลี’หยีตาลงเล็กน้อย ประกอบด้วยรูปร่างสันทัดและท่วงท่าอาจหาญที่ทำให้คนที่เห็นต้องมองเขาเป็นบึงที่ไร้ก้น

*เผียะ!*

‘เนี่ยหลี’ลั่นไกสังหาร ลูกธนูหลุดออกจากแล่งอย่างรวดเร็วประดุจแสงสีเงินที่พุ่งตรงอย่างรวดเร็ว มุมที่’เนี่ยหลี’ยิงออกไปคือจุดบอดของแกะมีเขานั่นเอง

“โดน!!!”

เห็นลูกธนูบินข้ามไป ใจของ’ตู้เจ๋อ’สั่นสะท้าน ‘เนี่ยหลี’เปล่งประกายแปลกประหลาดให้ความรู้สึกเหมือนเป็นนักธนูมากประสบการณ์  แกะภูเขาไม่มีทางหลบได้ทันกาล

*ผัวะ!!*

ลูกธนูโดนขาหลังของแกะมีเขาอย่างจัง

*ปึ้ก!!*

แกะภูเขาร้องครวญล้มลงเบื้องหน้าของลู่เปียว ฝุ่นฟุ้งกระจายไปรอบบริเวณ ‘ลู่เปียว’หายใจเฮือก เด็กชายตื่นเต้นสุดขีด เมื่อเขาได้ยินแกะมีเขาร้องโหยหวนไม่หยุดยั้ง เด็กชายได้แค่คิดว่า

“สวรรค์ น่ากลัวเกินไปแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ ก้นข้ารอดแล้ว”

ถ้าลูกธนูของ’เนี่ยหลี’ช้าไปสักหน่อย เขาคงโดนแกะมีเขาโจมตีอย่างจัง

ถ้าลูกธนูนี้เป็นลูกธนูธรรมดา แผลแค่นี้คงไม่มีผลกับแกะมีเขาเหล่านี้ และพวกมันก็คงยืนได้อีกครั้ง เพียงแต่ลูกธนูที่พวกเขาใช้คือลูกธนูที่อาบด้วยยาน้ำจากหญ้าบึงทมิฬกับหญ้าเจี๋ยลวี่ มันคือฝันร้างของเหล่าแกะมีเขา พิษยาเข้าสู่กระแสเลือดและแล่นตรงเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว เสียงร้องโหยหวนของพวกมันค่อยๆเบาลงช้าๆ

“รวดเร็วนัก”

‘ตู้เจ๋อ’ตื่นตะลึง เด็กชายไม่คิดว่ายาของ’เนี่ยหลี’จะสร้างผลที่รุนแรงเพียงนี้ เพียงครู่เดียว แกะที่กำยำก็สิ้นแรงต่อต้าน ‘ลู่เปียว’เองก็ตระหนกไม่แพ้กัน เขาได้รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของแกะพวกนี้ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นเทียบเท่ากันนักรบระดับสำริดสองคนรวมกัน ปกติต้องใช้เวลานานพอสมควรเพื่อจะสังหารพวกมันแต่ละตัว แต่แกะตัวนี้สิ้นท่าด้วยลูกธนูเพียงดอกเดียว

“น่ากลัวเกินไปแล้ว”

เมื่อ’ลู่เปียว’ย้อนคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ ความกลัวที่ซ่อนไว้ก็ปะทุขึ้นมาอีก

“ถ้านายไม่วิ่งหนี แกะตัวนั้นก็ทำอะไรนายไม่ได้หรอก”

‘เนี่ยหลี’หัวเราะเบาๆ

“ก็ได้”

‘ลู่เปียว’พึมพำ

ใบหน้าแดงซ่านกว่าผลตำลึงสุก เด็กชายไม่ทำตามแผนเอง ทั้งยังตื่นตระหนกในพลันเมื่อเห็นแกะนั้นพุ่งเข้าหาตัว เหลียวเห็นแกะตัวนั้นสิ้นท่า ‘ลู่เปียว’รู้สึกเหมือนจมจ่อมอยู่ในความฝัน ท่วงท่าของ’เนี่ยหลี’และการปฏิบัติการเมื่อครู่นั้นฝังลึกแน่นในห้วงความคิด ทิ้งรอยประทับแห่งความยอมรับนับถือไว้ลึกล้ำ นับแต่เยาว์ นี่เป็นครั้งแรกที่’ลู่เปียว’ยอมรับใครสักคนหมดใจ ทักษะการยิงธนูของเนี่ยหลีสูงล้ำระดับปรมาจารย์ แม้คนธรรมดาจะฝึกสักสิบปีก็ไม่อาจเอื้อมถึง

“รีบๆเก็บกวาดเร็วเข้า เราต้องการเพียงเขา ขนที่แผงคอ หินวิญญาณ และดวงจิตมารเท่านั้น”

‘เนี่ยหลี’สั่งอย่างรีบร้อน

หินวิญญาณและดวงจิตมารของแกะมีเขาซุกซ่อนอยู่ในสมอง หินวิญญาณเป็นคริสตัลขนาดเท่าหัวแม่โป้งและสัตว์ภูติส่วนใหญ่ถือครองหินชนิดนี้ ส่วนดวงจิตมารนั้น มีเพียงหนึ่งถึงสองตัวเท่านั้นจากแกะนับหมื่น รูปลักษณ์ของมันคล้ายเปลวเทียน แกะมีเขาที่มีดวงจิตมารนั้นแข็งแกร่งกว่าแกะมีเขาโดยทั่วไปมาก แกะมีเขานั้นเป็นสัตว์ภูติระดับล่าง เพียงหนึ่งดาวสำริดเท่านั้น วัตถุดิบที่เก็บเกี่ยวได้ราคาค่อนข้างต่ำ เขาคู่นั้นขายได้ห้าเหรียญ ขนที่แผงคอนั้นราคาสามเหรียญ หินวิญญาณราคาห้าเหรียญ

คิดเช่นนี้ แม้จะไม่มีดวงจิตมาร แกะหนึ่งตัวยังคงมีราคาสิบสามเหรียญ พวกเขาใช้เวลาอย่างมากเพียงห้านาทีในการสังหารแกะมีเขาหนึ่งตัว ด้วยความเร็วเช่นนี้ พวกเขาทำเงินได้หลายพันเหรียญต่อวันเลยทีเดียว

‘ตู้เจ๋อ’ตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิม ครอบครัวเขานั้นยากจน มีรายได้เพียงสองสามพันเหรียญต่อปี เพียงเพื่อให้เขาได้เข้าเรียน ครอบครัวของเขาต้องหยิบยืมเงินทองจากญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ‘ตู้เจ๋อ’เป็นความหวังของครอบครัว ถ้าเขาล่าสังหารแกะมีเขาร่วมกับ’เนี่ยหลี’ เขาคงจ่ายค่าเล่าเรียนได้ด้วยตัวเอง ‘เนี่ยหลี’ยิ้มกล่าวว่า

“เราคงต้องเร่งมือหน่อย คืนนี้โต้รุ่งไปเลย”

“แน่นอน”

‘ตู้เจ๋อ’ตอบอย่างตื่นเต้น

แม้ว่าพวกเขายังไม่บรรลุระดับสำริดหนึ่งดาว ร่างกายของพวกเขากลับแข็งแรงยิ่ง ไม่นอนแค่คืนเดียวไม่นับเป็นอย่างไรได้ ‘ลู่เปียว’ได้แต่ครวญคราง ไอ้คนตระหนี่สองคนนี้ยินดีสละเวลานอนเพื่อเงินทอง แม้จะเสียใจแต่เขาก็ไม่มีทางเลือก ใครใช้ให้ร่วมลงเรือลำเดียวกันเล่า                 ทั้งสามคนร่วมงานกันอย่างกลมเกลียว ไล่ล่าแกะมีเขาไม่หยุดยั้ง หลังฆ่าได้จำนวนหนึ่ง ‘ลู่เปียว’จะเป็นคนนำวัตถุดิบไปขาย

คืนหนึ่งหนึ่ง พวกของ’เนี่ยหลี’ล่าแกะได้ราวๆร้อยยี่สิบตัว ซึ่งคิดเป็นเงินหนึ่งพันสองร้อยเหรียญ แบ่งๆกันไปแล้วพวกเขาได้เงินคนละสี่ร้อยเหรียญ เงินปริมาณนี้นับว่าน่าตระหนกสำหรับพวกเขาผู้ยังไม่บรรลุระดับสำริด แม้แต่นักรบชั้นสำริด รายได้ยี่สิบสามสิบเหรียญต่อวันก็นับว่ามากโขอยู่

เจ็ดวันต่อจากนั้น เด็กทั้งสามใช้เวลากลางวันเพื่อเข้าเรียน กลางคืนเพื่อล่าแกะในสนามฝึกฝน เงินของพวกเขารวมกันมากกว่าหมื่นเหรียญจิดมารแล้ว ซึ่งนับเป็นสินทรัพย์ปริมาณมหาศาล นักเรียนในสถานศึกษาต่างสงสัยว่าเหตุใดจำนวนแกะมีเขาในสนามฝึกฝนนั้นลดจำนวนลงอย่างเฉียบพลัน

ก่อนนี้พวกเขาเพียงเดินเล่นในสนามฝึกก็พวกพวกมันยืนกันอยู่เป็นกลุ่ม แต่ปัจจุบันต้องใช้เวลาพอสมควรจึงจะเจอสักตัวหนึ่ง นี่หมายความว่ามีสัตว์นักล่าอย่างเสือหลุดเข้ามาในเขตมือใหม่หรือไม่ สถานศึกษาเสิ้งหลันถึงกับจัดชุดสำรวจเข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์นี้ แน่นอนว่าพวกเขาคว้าน้ำเหลวกลับไปมือเปล่า ในคืนวันที่แปด กลุ่มของ’เนี่ยหลี’ซ่อนตัวอยู่ในความมืดออกไล่ล่าแกะมีเขา ฟ้ามืดสนิทด้วยเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ‘ลู่เปียว’หาววอดกล่าวว่า

“เนี่ยหลี ฉันไม่ไหวแล้ว ของีบบนยอดไม้ก่อนนะ”

การล่าแกะมีเขาเจ็ดวันติดกันทำให้เด็กชายเหนื่อยจนทนไม่ไหว ไม่เพียงแต่’ลู่เปียว’ แม้แต่’ตู้เจ๋อ’ก็เฉกเช่นกัน

“เนี่ยหลี ข้าก็ขอไปนอนก่อนละ”

‘ตู้เจ๋อ’ว่า สองตาปรือพยายามลืมตาสุดชีวิตมาตลอดเจ็ดวัน แม้แต่ร่างที่หลอมจากเหล็กไหลก็ทนทานไม่ได้

“พวกนายไปนอนก่อน เราจะหยุดล่าคืนพรุ่งนี้ ฉันมีแผนการอื่น”

‘เนี่ยหลี’ว่า เขาเก็บเงินได้มากกว่าหนึ่งหมื่นหกพันเหรียญแล้ว นี่เป็นสมบัติก้อนแรกของพวกเขา ด้วยสมบัติพวกนี้เขาจะทำอะไรได้หลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องล่าแกะอีกแล้ว ‘ลู่เปียว’กับ’ตู้เจ๋อ’ปีนขึ้นต้นไม้สูง เลือกคบไม้แล้วก็เอนกายลงนอนในทันใด ใบหน้าของเด็กน้อยทั้งสองเต็มไปด้วยความอ่อนล้า

แม้พวกเขาจะเป็นกลุ่มเด็กซุกซน แต่อย่างไรก็เป็นเพียงวัยรุ่นสองคนเท่านั้น(รูปประโยคดูแปลก จะกลับมาเช็คฝั่งจีนอีกครั้งครับ) ‘เนี่ยหลี’ออกลาดตระเวนต่อในป่า จันทร์กลมแขวนกลางฟ้า เสียงหรีดหริ่งเรไรดังระงมเป็นระยะ ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบดูวังเวงยิ่งขึ้น เมื่อไม่มีสัตว์ภูติขนาดใหญ่ บริเวณโดยรอบปลอดภัยยิ่ง พลัน’เนี่ยหลี’ได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้นในป่า เด็กชายรู้โดยพลันว่ามีคนอื่นอยู่แถวนี้

“ใครยังอยู่ในสนามฝึกตอนนี้กัน”

‘เนี่ยหลี’ขมวดคิ้วก่อนพุ่งไปตามเสียง เด็กชายซ่อนตัวในป่าขณะมองไปยังทุ่งใต้แสงจันทร์ แสงจันทร์สว่างส่องให้เห็นเรือนร่างอ่อนช้อยบอบบองยืนอยู่กลางแสงจันทร์ นางมีผมยาวประบ่า สวมเสื้อคลุมหนัง เปล่งแสงสีน้ำเงินอ่อนๆ นั่นคือแสงของพลังวิญญาณ

แม้ว่าจะยังไม่เข้าถึงระดับสำริด แต่ก็ใกล้เต็มทน ด้วยแสงจากพลังวิญญาณ ‘เนี่ยหลี’ใช้โอกาสนี้มองใบหน้าของนาง สองตาของนางปิดสนิท ขนตางอนสั่นกระเพื่อมเล็กน้อย คิ้วเรียวโค้ง นางครอบครองผิวกายขาวไร้ราคี เปล่งประกายชมพู ริมฝีปากอวบอิ่ม นางกับ’เหย่จื่อหวิน’ครอบครองความงามที่แตกต่างกัน ‘เหย่จื่อหวิน’เป็นเช่นความเงียบที่ทรงสง่า ประดุจดอกจื่อโหลวหลัน ส่วนนางถือเสน่หาที่ยั่วยวนด้วยประกายเจิดจ้าประหนึ่งดอกกุหลาบประดับด้วยหนามแหลม

“เซียวหนิงเอ๋อร์ ไม่คิดว่าจะเป็นนาง”

‘เนี่ยหลี’ว่า

เด็กชายประหลาดใจนิดหน่อยที่’เซียวหนิงเอ๋อร์’ฝึกหนักกว่าที่คิด นางยังคงฝึกวิชาแม้ในยามดึกดื่นเช่นนี้ เขาประเมินว่านางจะบรรลุระดับสำริดได้ในเร็ววัน ในชาติก่อน เมื่อ’เซียวหนิงเอ๋อร์’บรรลุระดับหนึ่งดาวสำริด นางพลันล้มป่วยลงยาวถึงสองปี พลังการบำเพ็ญถดถอยลงไปมาก

แม้นางจะฝึกฝนวิชากลับขึ้นมาใหม่ก็ยังมีคนบอกว่านางซ่อนโรคภัยไว้ แม้นางจะเจ็บป่วยเช่นนั้น หากในสายตาของคนอื่นนางยังคนเป็นเช่นดาราเจิดจ้า ช่างเป็นหญิงแกร่งอะไรเช่นนี้ เมื่อใคร่ครวญว่า’เซียวหนิงเอ๋อร์’ฝึกฝนวิชากลางเที่ยงคืนเช่นนี้ ‘เนี่ยหลี’พลันเข้าใจบางสิ่ง แม้นางจะขยันจนแทบล้มประดาตาย แต่นางออกจะไม่สนใจชีวิตเกินไปแล้ว คิดอยู่ครู่หนึ่ง ‘เนี่ยหลี’ก็เดินไปหา’เซียวหนิงเอ๋อร์’

“ใคร?”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’ตวาด

สองตาเบิกกว้างในพลันพร้อมชักมีดสั้นออกมา นางมอง’เนี่ยหลี’ด้วยสายตาระแวดระวัง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา หากแม้ใต้แสงจันทร์ ดวงตาที่ตื่นตระหนกนั้นก็ยังซ่อนประกายแห่งความเย้ายวนที่ยากอธิบาย แม้ในวัยสิบสามสิบสี่ นางในขณะนี้ยังคงนับได้ว่าเป็นสาวแรกรุ่นที่งดงามยิ่ง ใต้เสื้อคลุมหนังซ่อนอกตูมตั้ง ด้วยอายุขนาดนี้ นางควรภาคภูมิใจกับมันยิ่ง

“ฉันคือเนี่ยหลี”

‘เนี่ยหลี’ว่า

แม้เด็กชายจะไม่เคยคุยกับ’เซียวหนิงเอ๋อร์’ พวกเขาก็นับได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นและคุ้นเคยกันอยู่เล็กน้อย ‘เซียวหนิงเอ๋อร์’ลดมีดสั้นลง หากยังคงตั้งแง่อยู่บ้าง นางมองไปยัง’เนี่ยหลี’ถามว่า

“นายมาทำอะไรแถวนี้”

‘เนี่ยหลี’ยิ้มน้อยๆ

“แล้วเธอมาทำอะไรแถวนี้”

“ฉันกำลังเพาะสร้างพลังวิญญาณ”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’ว่าพลางมอง’เนี่ยหลี’ที่อยู่ใต้แสงจันทร์ คิ้วของเด็กชายคมเข้ม เด็กชายมีเค้าของความหล่อเหลาอยู่บ้าง ไม่ใช่คนที่น่าหวาดกลัวเมื่อแรกพบ ‘เนี่ยหลี’ยักไหล่ตอบว่า

“ฉันมาเดินเล่นแถวนี้”

“โกหก อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเป็นพวกนายที่ออกล่าฝูงแกะในช่วงไม่กี่วันนี้”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’ว่า นางย่อมพบเห็นกลุ่มของ’เนี่ยหลี’ เพียงแต่ไม่ต้องการปฏิสัมพันธ์ด้วย สิ่งที่นางสงสัยอยู่คือ’เนี่ยหลี’ทาอะไรลงบนลูกธนู จึงสามารถล้มแกะมีเขาได้ในคราเดียว หากนางย่อมไม่ละเมิดล่วงความลับของผู้อื่น

“เช่นนั้นเธอก็คงเห็นมาสักพักแล้ว”

‘เนี่ยหลี’ว่าพลางเหลือบมอง’เซียวหนิงเอ๋อร์’ ริมฝีปากที่เชิดออกมานั้นอวบอิ่ม เต็มไปด้วยความเย้ายวนที่ยากอธิบาย หากเขามี’เหย่จื่อหวิน’ในใจแล้ว เขาจึงมองเห็นความงามของนางเป็นเพียงสิ่งที่ควรชื่นชม

เด็กชายประทับใจกับความงามของนาง รวมไปถึงความทุ่มเทในการฝึกฝนของนางเป็นอย่างยิ่ง ด้วยรูปลักษณ์ของนาง นางสามารถก้าวขึ้นที่สูงได้อย่างง่ายดาย หากนางกลับเลือกที่จะใช้พลังของตัวเองเปลี่ยนสายตาของผู้อื่น เสียดายที่นางเลือกวิธีผิดไป

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments