I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 13 ทดสอบความสามารถ

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 5156 | 2535 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“หนึ่งคนคนใช้หินวิญญาณหนึ่งก้อน หินก้อนนี้จงเก็บไว้กับตัวให้ดี ก่อนพลังวิญญาณจะบรรลุระดับห้าร้อยจุด หินก้อนนี้สามารถใช้ตรวจระดับพลังวิญญาณได้ เมื่อบรรลุห้าร้อยจุดแล้ว พวกเจ้าจะต้องใช้หินวิญญาณชั้นกลางแทน”

‘เนี่ยหลี’กล่าวขณะแจกจ่ายหินวิญญาณแก่ทุกคน เห็น’เนี่ยหลี’แจกจ่ายหินวิญญาณแก่พวกมันด้วย ‘เว่ยหนาน’ ‘จูเสียงจวิ้น’ และ’จางหมิง’แสดงสีหน้าตื่นตระหนกยิ่ง

“พวกข้าจะรับของมีค่าเช่นนี้ได้อย่างไร?”

‘เว่ยหนาน’กล่าว หินวิญญาณชั้นต้นก้อนหนึ่งมีราคาราวพันเหรียญจิตมาร ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของพวกมันเป็นเวลาสองปียังไม่มากเพียงนี้ด้วยซ้ำ แต่’เนี่ยหลี’กลับแจกจ่ายมันเป็นของกำนัล

“ถูกแล้ว พวกข้ารับไว้ไม่ได้ๆ!”

‘จูเสียงจวิ้น’รีบเสริม

“เนี่ยหลีให้พวกเจ้า พวกเจ้าก็รับๆไปเถอะ พวกเจ้าไม่เห็นพวกเราเป็นพี่น้องหรืออย่างไร?”

‘ตู้เจ๋อ’พูดเสียงเข้มพลางขมวดคิ้ว แม้’ตู้เจ๋อ’เป็นสามัญชน มันกลับมีบารมีอยู่บ้าง พวกทั้งสามหันมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า ในใจพวกมันเต็มไปด้วยคำขอบคุณขณะรับหินวิญญาณจากเนี่ยหลี

“ขอบคุณพี่เนี่ย นับแต่นี้พี่คือผู้นำของพวกเรา แม้นมีคำสั่ง บุกน้ำลุยไฟไม่ขอบ่ายเบี่ยง!”

ทั้งสามกล่าวพร้อมกัน พวกมันยอมรับ’เนี่ยหลี’จากก้นบึ้งของจิตใจและยินดีติดตาม’เนี่ยหลี’  ฟังคำของทั้งสาม ‘เนี่ยหลี’ยิ้มน้อยๆ มีพี่น้องเหล่านี้ แผนการของ’เนี่ยหลี’ย่อมสำเร็จโดยลงแรงเพียงครึ่ง!

“ตู้เจ๋อ เจ้าเริ่มก่อน”

‘เนี่ยหลี’มอง’ตู้เจ๋อ’ กล่าวว่า

“กระทำเหมือนที่เจ้ากระทำเมื่อครั้งสมัครเข้าสถานศึกษา”

“ได้”

‘ตู้เจ๋อ’ผงกศีรษะ ยกหินวิญญาณในมือขึ้น เด็กชายประจุพลังวิญญาณเข้าไปในหินช้าๆ หินวิญญาณก้อนนั้นค่อยๆเปล่งแสงเรืองรอง ประกายเจิดจ้าขึ้นทีละน้อย สาดสว่างทั่วใบหน้าที่อ่อนเยาว์หากมีเค้าลางของความเติบโตอยู่ในนั้น เปล่งเป็นกลุ่มหมอกของจุดแสงภายในหินวิญญาณประหนึ่งเต้นระบำ เมื่อพิจารณาจากความสว่างแล้ว ‘ตู้เจ๋อ’ยังห่างจากระดับสำริดหนึ่งดาราอยู่ช่วงใหญ่ ที่เหลือล้วนจับจ้องในหินวิญญาณ ภายในกลุ่มหมอกเต็มไปด้วยจุดแสงเล็กๆกระจัดจายอยู่ จุดนั้นแทนพลังวิญญาณหนึ่งจุด

“เจ้าก้าวหน้าได้รวดเร็วนัก พลังวิญญาณเจ้าเพาะสร้างถึงห้าสิบสองจุดแล้ว”

‘ลู่เปียว’พูดอย่างตื่นเต้น

ด้วยความรวดเร็วระดับนี้ ‘ตู้เจ๋อ’จะเป็นบุคคลแรกในกลุ่มที่บรรลุระดับสำริดหนึ่งดารา ‘ตู้เจ๋อ’หันมอง’เนี่ยหลี’ เด็กชายยังคงเพ่งสมาธิมองหินวิญญาณ ในสายตาของมัน จำนวนของพลังวิญญาณมิใช่ประเด็นสำคัญ หลักสิบหรือร้อยไม่ได้มีความหมายใด ที่สำคัญคือธาตุและรูปแบบต่างหาก

ภายในหินวิญญาณมีจุดแสงสีขาวบางจุดที่เปล่งประกายแสงสีแดงหม่น บางคราก็เคลื่อนตัวประกอบเป็นรูปร่างต่างๆกันประหนึ่งกลุ่มเมฆ เห็นดังนี้ ‘เนี่ยหลี’ก็ปรากฏสีหน้าตกใจขึ้นอย่างชัดแจ้ง พูดระโหยว่า

“เป็นธาตุอสนี รูปแบบเมฆอสนีกิเลนฟ้า(เทียนหลินเหลยหวิน)”

ไม่แปลกใจว่าเหตุใดพลังการบำเพ็ญของ’ตู้เจ๋อ’นั้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยเวิ้งวิญญาณในรูปแบบเมฆอสนีกิเลยฟ้า จับคู่กับธาตุอสนีนับเป็นคู่ที่ลงตัวเป็นที่สุด น่าเสียดายที่ชาติก่อน’ตู้เจ๋อ’ได้เพียงฝึกฝนอาคมในสายเพลิงวิเศษซึ่งเป็นธาตุไฟ การบรรลุระดับทองคำหนึ่งดารานับเป็นที่สุดแล้วจริงๆ แต่ชาตินี้ เมื่อมี’เนี่ยหลี’ ‘ตู้เจ๋อ’จะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

“ธาตุอสนี รูปแบบเมฆอสนีกิเลนฟ้า?”

ทุกคนล้วนแสดงสีหน้างงงวยกับคำพูดของ’เนี่ยหลี’

“อันที่จริงโลกนี้ไม่มีเวิ้งวิญญาณที่ใช้การไม่ได้มาก่อน ชาด ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า คราม ม่วง ทั้งเจ็ดสีเป็นตัวแทนของความสามารถแต่กำเนิดของผู้คน ด้วยเหตุปัจจัยปลายประการ เวิ้งวิญญาณบางรูปแบบฝึกฝนได้ง่ายดายกว่าจริง แต่นั่นมิได้หมายความว่าเวิ้งวิญญาณแดงนั้นใช้การไม่ได้ หากเจ้าได้วิธีการฝึกฝนพลังที่เหมาะสม แม้แต่เวิ้งวิญญาณชาดก็สำแดงอำนาจมหาศาลได้ มีเพียงผู้ไม่รู้ความเท่านั้นที่ใช้สีของเวิ้งวิญญาณแบ่งชนชั้นของคน!”

‘เนี่ยหลี’ยิ้มน้อยๆขณะกล่าว

ฟังคำของ’เนี่ยหลี’ เด็กที่เหลือเหมือนมีสายฟ้าฟาดลงกลางใจ นี่เป็นเรื่องน่าตระหนกเกินไปแล้ว นับแต่เริ่มก่อตั้งนครเรืองโรจน์ เหล่าผู้ใช้ภูติชั้นตำนานล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าเวิ้งวิญญาณนั้นแบ่งลำดับขั้น ส้มเหนือชาด ครามเหนือฟ้า ‘เนี่ยหลี’กลับกล่าวว่าผู้ใช้ภูติชั้นตำนานเหล่านั้นล้วนเป็นพวกไม่รู้ความอย่างนั้นหรือ?

หากจะเปรียบกันเรื่องความเข้าใจในธรรมชาติของเวิ้งวิญญาณ เหล่าผู้ใช้ภูติในประวัติศาสตร์ของนครเรืองโรจน็นั้นไม่อาจเปรียบกับ’เนี่ยหลี’แม้แต่น้อย มันยินดีถกเถียงกับผู้ใช้ภูติทุกคนในเรื่องนี้ ด้วยในอดีตชาติ ‘เนี่ยหลี’นั้นก้าวข้ามระดับตำนานไปแล้ว บรรลุถึงระดับชั้นที่พวกมันมิกล้าจะวาดหวังถึง ‘เนี่ยหลี’กล่าวต่อว่า

“เมื่อพวกเจ้าได้พบปราณที่เหมาะสม ไม่ว่าเวิ้งวิญญาณชั้นใดล้วนบรรลุขั้นตำนานได้ทั้งสิ้น! ตู้เจ๋อถือครองเวิ้งวิญญาณธาตุอสนี รูปแบบเมฆอสนีกิเลนฟ้า(เทียนหลินเหลยหวิน) ด้วยปราณที่เหมาะสม อาคมในธาตุอสนี และจิตภูติกลุ่มกิเลนฟ้า ความสำเร็จของเจ้าย่อมยากจะประเมินได้ ในทางกลับกัน พลังของเจ้ากลับจะตกต่ำลงหากฝึกฝนสิ่งอื่น มิพักเอ่ยถึงความเชื่องช้าในการฝึกฝน”

ฟังคำของ’เนี่ยหลี’ ใบหน้าของ’ตู้เจ๋อ’เต็มไปด้วยความเจ็บช้ำ กล่าวว่า

“น่าเสียดายที่อาคมอสนีบาตในนครนั้นไม่สมบูรณ์ แม้จะยังหลงเหลือคัมภีร์โบราณ แต่ภาษาโบราณเหล่านั้นก็…”

‘ตู้เจ๋อ’พูดได้ครึ่งทางพลันนึกได้ว่า’เนี่ยหลี’นั้นสามารถเข้าใจคัมภีร์อสนีบาต แววตาของเด็กชายมอง’เนี่ยหลี’ด้วยความหวัง ขณะเดียวกัน’เนี่ยหลี’เองเผยยิ้มเหมือนเด็กชายนั้นถือไพ่ไว้ในมือพร้อมพรัก กล่าวว่า

“มีข้าอยู่ตรงนี้ ไม่มีสิ่งใดต้องเป็นห่วงอีก เพียงวิธีฝึกพลังปราณอสนี ในมือข้ามีสุดยอดวิชาอัสนีอยู่หกสิบเก้าประการ เจ้าต้องการวิชาใด?”

วิชาประกายอสนีชาด (ชี่เหลยเทียนหว่อ)? ไม่ดีนัก พลังนี้เกรี้ยวกราดเกินไป ช่วงท้ายของการบำเพ็ญสามารถทำให้เส้นชีพจรบาดเจ็บได้ง่าย พลังกิเลนฟ้า(เทียนหลิน)? พลังนี้เหมาะกับสภาพของร่างกายของ’ตู้เจ๋อ’อย่างยิ่ง ปัญหามีเพียงวิชานี้เป็นวิชาที่ไม่เคยมีใครฝึกฝนมาก่อนแม้แต่ผู้คิดค้น ในสายตาของ’เนี่ยหลี’ เก้าขั้นแรกของวิชานี้ปลอดภัยอย่างยิ่ง มีเพียงสามขั้นสุดท้ายที่ลำบากอยู่บ้าง ความแข็งแกร่งของพลังกิเลนฟ้ามิพักต้องเอ่ยถึง เพียงบรรลุขั้นเก้าก็นับว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดินแล้ว บรรลุสามขั้นสุดท้ายหรือไม่ล้วนแล้วแต่วาสนาของ’ตู้เจ๋อ’เอง

“ข้าแนะนำให้เจ้าฝึกพลังกิเลนฟ้า นี่เป็นหนึ่งในสามปราณอสนีที่แข็งแกร่งที่สุด ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชานี้ให้ ในอนาคตยังจะมอบวิชายุทธ์อีกหลายแขนงให้แก่เจ้า”

‘เนี่ยหลี’ถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่’ตู้เจ๋อ’โดยไม่ปิดบัง เคล็ดความของพลังกิเลนฟ้าไม่ซับซ้อนนัก ‘ตู้เจ๋อ’จดจำได้อย่างรวดเร็ว เมื่อสวดเคล็ดความได้รอบหนึ่ง ‘ตู้เจ๋อ’พลันตื่นตระหนก พลังกิเลนฟ้านี่แข็งแกร่งกว่าพลังใดๆที่เคยเห็นมาก่อน เพียงสวดเบาๆ ‘ตู้เจ๋อ’พลันรู้สึกได้ว่าเวิ้งวิญญาณของมันกระเพื่อมอย่างรุนแรง พลังวิญญาณเปล่งพลังออกมาเต็มที่ เด็กชายยังไม่ได้เริ่มฝึกฝนอย่างจริงจัง แต่กลับรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณนั้นเพิ่มขึ้นแล้ว

นี่นับเป็นสัญญาณที่ดีว่าเมื่อฝึกฝนพลังกิเลนฟ้าอย่างจริงจัง พลังวิญญาณของเด็กชายจะพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดด ตลอดเวลาที่ผ่านมา ‘ตู้เจ๋อ’นั้นพบเจอกับชะตากรรมอดมื้อกินมื้อของครอบครัวมาตลอด เด็กชายหวังจะพลิกเปลี่ยนโชคชะตาของครอบครัว แต่ก็รู้ดีว่านั่นเป็นความฝันไกลตัวอย่างหนึ่ง หากในบัดนี้ ‘ตู้เจ๋อ’รู้ได้ทันทีว่าหากเขาเริ่มต้นฝึกฝนพลังกิเลนฟ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้จะไม่กลายเป็นปัญหาอีก ทุกอย่างของเขากลับถูกมอบให้โดย’เนี่ยหลี’เอง

“ข้าจะมอบบันทึกเกี่ยวกับรายละเอียดของวิชานี้แก่เจ้าในอีกไม่กี่วัน”

‘เนี่ยหลี’กล่าวพลางยิ้มน้อยๆ

‘ตู้เจ๋อ’ขอบคุณ’เนี่ยหลี’จากใจ สองตาแดงก่ำ กล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า

“บุญคุณที่มอบพลังกิเลนฟ้าแก่ข้า ข้าจะไม่ลืมเลือน หากในอนาคตเจ้ามีข้อขอร้องใด แม้ต้องฝ่าดงภูเขาดาบลงกะทะทองแดง หากข้าชักช้าแม้แต่น้อยขอให้ฟ้าผ่าตาย!!”

“อย่าพูดเช่นนั้น พวกเราล้วนเป็นพี่น้อง นี่เป็นเพียงวิธีฝึกพลังเท่านั้นเอง”

‘เนี่ยหลี’ยิ้มตบหลัง’ตู้เจ๋อ’เบาๆ

สำหรับ’เนี่ยหลี’ นี่เป็นแค่วิธีฝึกพลัง แต่สำหรับ’ตู้เจ๋อ’แล้วความสำคัญของมันใหญ่หลวงยิ่งนัก ขณะเดียวกัน ‘ลู่เปียว’เองไม่อาจอดทนรอได้อีก กล่าวว่า

“พวกเจ้าพร่ำเพ้อวาจาไร้สาระมานานแล้ว เมื่อเป็นพี่น้องกัน มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน เนี่ยหลี ข้ามีเพียงเวิ้งวิญญาณชาด ข้าจะฝึกพลังได้หรือไม่?”

“แน่นอน ไม่ว่าผู้ใดล้วนฝึกพลังได้ แม้จะมีเพียงเวิ้งวิญญาณชาด เพียงแต่วิธีฝึกปราณเท่านั้นที่แตกต่างกันไป”

‘เนี่ยหลี’กล่าวด้วยรอยยิ้ม

‘ลู่เปียว’ประจุพลังวิญญาณลงในหินวิญญาณโดยพลัน หินวิญญาณเริ่มเปล่งแสงริบหรี่ จุดแสงหลายจุดมีประกายสีแดงหมุนวน ความสว่างนั้นดูจะน้อยกว่า’ตู้เจ๋อ’มาก เห็นดังนี้ใบหน้าของ’ลู่เปียว’ก็แดงฉาน พลังวิญญาณของมันต่ำเตี้ยเกินไป

“เวิ้งวิญญาณชาด ธาตุแรกกำเนิด(ฮุ่นตุ้น) รูปแบบตะวันแดง(ชี่หยาง)”

‘เนี่ยหลี’ขมวดคิ้ว กล่าวว่า

“รูปแบบตะวันแดงถือเป็นรูปแบบทั่วไป แต่เมื่อมีธาตุแรกกำเนิดอยู่ด้วย นับว่าหายากยิ่งนัก มีเพียงหนึ่งในแสนเท่านั้นที่จะพบธาตุนี้ เหตุใดไม่ฝึกฝนพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แรกกำเนิด(ฮุ่นตุ้นเสิ้งหลิง)เล่า!”

(混沌 Hun4Dun4 อ่านว่าฮุ่นตุ้น คือภาวะแรกกำเนิดของจักรวาล หนังสือไคเภ็กกล่าวว่าเดิมจักรวาลเป็นไข่ใบหนึ่งเรียกว่าฮุ่นตุ้น ต่อมาผานกู่(พระพนโกสีห์) ถือกำเนิด ใช้กายยันเปลือกไข่แยกออกจากกัน ส่วนหนักจมลงล่าง ส่วนเบาลอยขึ้นบน เรียกว่าฟ้าดิน บ้างกล่าวว่าดั้งเดิมฟ้าดินขมุกขมัว ขมุกขมัวในที่นี้บรรยายสภาวะของฮุ่นตุ้นนั้นเอง)

“พลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แรกกำเนิด? แข็งแกร่งหรือไม่?”

‘ลู่เปียว’ถามอย่างตื่นเต้น ด้วยเพียงนามนั้นก็ข่มขวัญผู้คนแล้ว

“แน่นอน พลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แรกกำเนิดไม่ด้อยกว่าพลังกิเลนฟ้าแน่นอน วิชานี้ไม่ต้องการการฝึกฝนมากนัก ต้องการเพียงให้ฟูมฟักธาตุแรกกำเนิดในร่างกายเท่านั้น เหมาะกับเจ้าอย่างยิ่ง”

‘เนียหลี’กล่าวพลางหัวเราะร่า

“จะฝึกฝนได้ถึงขั้นไหนอยู่ที่วาสนาของเจ้าเองทั้งนั้น”

ฟังคำของ’เนี่ยหลี’ ดวงตาของ’ลู่เปียว’ฉายประกายวาบ วิชานี้เหมาะกับเขายิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น เด็กชายหัวเราะคิกกล่าวว่า

“ข้าไม่ต้องการบรรลุระดับสูงสุดยอด เพียงบรรลุระดับเงินขาวหนึ่งดาราข้าก็พอใจแล้ว”

เงินขาวหนึ่งดารา… ถ้าผู้ให้กำเนิดพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แรกกำเนิดรู้ว่าความฝันของ’ลู่เปียว’ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ มันคงสำลักอากาศตายแล้ว

“เงินขาวหนึ่งดารา…”

‘เนี่ยหลี’ไร้คำพูด

เด็กชายรู้ดีว่าอีกไม่นานลู่เปียวจะได้รู้ว่าความฝันของมันไร้สาระถึงเพียงไหน เมื่อฝึกฝนพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แรกกำเนิด การจะจับเจ่าอยู่ที่ระดับเงินขาวหนึ่งดารานั้นเป็นไปไม่ได้ เมื่อฟูมฟักธาตุแรกกำเนิดในร่าง พลังการบำเพ็ญของ’ลู่เปียว’ย่อมพุ่งทะลุฟ้าเช่นกัน

‘เนี่ยหลี’ยังทำการทดสอบ’เว่ยหนาน’ ‘จูเสียงจวิ้น’ และ’จางหมิง’ก่อนมอบเคล็ดพลังให้กับพวกเขา แม้จะไม่อาจเปรียบได้กับพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แรกกำเนิดหรือพลังกิเลนฟ้า เคล็ดวิชาของเนี่ยหลียังคงเหนือกว่าวิชาอื่นใดในนครเรืองโรจน์ มิพักว่าวิชาเหล่านี้ยังเหมาะสมกับลักษณะนิสัยของพวกมันอย่างยิ่ง ความสำเร็จในอนาคตต้องไม่ต่ำต้อยเด็ดขาด

เพียงบรรลุระดับสำริดห้าดาราแล้วได้ครอบครองจิตภูติที่เหมาะสม อำนาจในการรบของพวกมันจะพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว  ‘เนี่ยหลี’หันมองหินวิญญาณในมือตนเอง เด็กชายเตรียมทดสอบพรสวรรค์ติดตัวของตนเอง ด้วยเหตุผลหลายประการในชาติก่อน ‘เนี่ยหลี’ก้าวออกนอกเส้นทางปกติ ทั้งพลังปราณที่ฝึกฝนยังปนเปกันไปหมด นั่นทำให้ช่วงท้ายของการบำเพ็ญเพียรนั้นขาดความแข็งแกร่งไป ดังนั้นครั้งนี้ มันจะค้นหาพลังปราณที่เหมาะสมกับตัวมันที่สุด!!

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments