I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 14 พลังเทพวิถีฟ้า

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 5238 | 2535 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

เมื่อประจุพลังวิญญาณสู่หินในมือ จุดสว่างจำนวนน้อยก็ปรากฏลอยอยู่ในหินวิญญาณ หากแต่ตัวหินวิญญาณยังดูมืดอยู่

“เห็นเช่นนี้ข้าก็โล่งใจ เนี่ยหลียังมีพลังวิญญาณน้อยกว่าข้าอีก!”

‘ลู่เปียว’พูดพลางหัวเราะร่า

‘ตู้เจ๋อ’ตวัดสายตามอง’ลู่เปียว’โดยพลัน  ‘เนี่ยหลี’หาได้ใส่ใจ พลังวิญญาณมากน้อยไม่ใช่สิ่งสำคัญ การทหารเน้นที่คุณภาพมิใช่ปริมาณ สิ่งที่เนี่ยหลีสนใจคือรูปลักษณ์ของเวิ้งวิญญาณต่างหาก เวิ้งวิญญาณชาด กระจัดกระจาย ไร้ระเบียบ ไร้ธาตุ

“ไร้ธาตุ รูปแบบไร้ลำดับ”

‘เนี่ยหลี’ยิ้มเจื่อนๆ

“ไม่ว่าเวิ้งวิญญาณใดๆล้วนทรงพลัง แต่ถ้าให้ข้าบอกว่าเวิ้งชนิดใดอ่อนด้วยที่สุด เป็นเวิ้งวิญญาณไร้ธาตุเช่นนี้เอง ด้วยมันไม่มีรูปแบบเฉพาะตัวใดๆ เวิ้งวิญญาณเองก็ไม่อาจรวมตัวกัน ที่แท้เวิ้งวิญญาณดังเดิมข้าเป็นเช่นนี้ เมื่อฝึกฝนปราณหลากหลายชนิดยิ่งทำให้ข้าไม่อาจควบรวมเวิ้งวิญญาณได้”

“ไม่แปลกใจว่าเหตุใดหลังจากใช้เวลาฝึกฝนในห้วงมิติของตำราภูติกาลเร้นลับอย่างยาวนาน ข้ายังมิอาจก้าวข้ามมันไปได้ ต้นตอของปัญหาคือเหตุนี้เอง”

เวิ้งวิญญาณไร้ธาตุนั้นไม่เสถียรอย่างยิ่ง เปลี่ยนไปมาตลอดเวลา

‘เนี่ยหลี’จมลงในห้วงความคิด วิชาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเวิ้งวิญญาณไร้ธาตุมีเพียงสามวิชา คือ พลังเทพวิถีฟ้า (เทียนเต้าเสินเจว๋) พลังเทพสัประยุทธ์ (โต่วจ้านเสินเจว๋) พลังเทพอนัตตา (ซวีคงเสินเจว๋) ในวิชาทั้งสามนี้ พลังเทพวิถีฟ้าสุดลึกล้ำ พลังเทพสัประยุทธ์สุดกราดเกรี้ยว พลังเทพอนัตตาสุดลี้ลับ หากจะว่ากันถึงช่วงหลัง พลังเทพวิถีฟ้านับว่ามีความสามารถสูงที่สุด แต่ก็ฝึกฝนยากที่สุดเช่นกัน

เมื่อเป็นเวิ้งวิญญาณไร้ธาตุ ไม่ว่าฝึกฝนพลังใดก็ช้ากว่าผู้อื่นอยู่ช่วงใหญ่ แต่หากผู้ใดได้ฝึกฝนพลังเทพวิถีฟ้า นี่คือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยมันสำแดงลักษณะเด่นของเวิ้งวิญญาณไร้ธาตุออกมาได้อย่างดี ทั้งเมื่อสำเร็จวิชานี้แล้วยังสามารถฝึกฝนพลังปราณสายใดธาตุใดก็ได้ นั่นทำให้ผู้ฝึกมีพลังล้ำเลิศและบุกเบิกหนทางใหม่ขึ้นได้

เมื่อฝึกฝนปราณทั่วไป ผู้ใช้ภูติสามารถครอบครองจิตภูติได้เพียงหนึ่ง เมื่อได้รับจิตภูติที่แกร่งกว่าเดิม ก็จำต้องสลับออก แต่ด้วยพลังเทพวิถีฟ้า ผู้ฝึกสามารถครอบครองจิตภูติไว้ในร่างถึงเจ็ดตนเจ็ดธาตุ ทุกครั้งที่ครอบครองจิตภูติ ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว เมื่อครอบครองได้ครบเจ็ดตน พลังการฝึกฝนจะทะลุขีดจำกัดเหนือจินตนาการ

‘เนี่ยหลี’ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าความเร็วในการฝึกจะเชื่องช้ากว่า’ลู่เปียว’และ’ตู้เจ๋อ’มาก ถึงกับช้ากว่ากลุ่มสามสหาย แต่เมื่อการบำเพ็ญบรรลุถึงบั้นปลาย พลังเทพวิถีฟ้าคือพลังที่แข็งแกร่งที่สุดโดยไม่มีที่สงสัย

‘เนี่ยหลี’สวดเคล็ดวิชา ก่อนเริ่มฝึกฝนตั้งแต่ชั้นพื้นฐาน ในอนาคตเด็กชายอาจต้องพึ่งพายาวิเศษอีกจำนวนมาก แต่ ณ ขณะนี้เพียงฝึกฝนพื้นฐานเบื้องต้นก็เพียงพอแล้ว เห็น’เนี่ยหลี’เริ่มต้นการฝึกฝน ‘ตู้เจ๋อ’และพวกก็ไม่รอช้า เริ่มสวดเคล็ดความวิชาของตนโดยพลัน ร่างกายของทั้งหมดเริ่มดูดซับพลังฟ้าดินเพื่อเพาะสร้างพลังในเวิ้งวิญญาณ ยิ่งฝึกฝน พวกมันยิ่งรับรู้ว่าวิชาของพวกตนนั้นลี้ลับและลึกล้ำเพียงใด

รอบกายทั้งหกเปล่งเวิ้งวิญญาณของตนออกมา หมุนวน กระเพื่อม และขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็น’ตู้เจ๋อ’ ‘ลู่เปียว’หรือกลุ่มสามสหาย พลังวิญญาณของพวกมันล้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การเพิ่มขึ้นของพลังวิญญาณนั้นรวดเร็วจนน่าตื่นตระหนก อย่างไรเสียวิชาปราณที่เนี่ยหลีมอบแก่ทุกคนล้วนเป็นพลังที่สะท้านสะเทือนปฐพีทั้งสิ้น

เมื่อเริ่มฝึกฝน ความเร็วในการฝึกฝนนั้นรวดเร็วกว่าวิชาสามัญนับร้อยเท่า ตัว’เนี่ยหลี’เองฝึกฝนพลังเทพวิถีฟ้า สำหรับมันในขณะนี้ความเร็วในการฝึกฝนนั้นหาได้สำคัญไม่ มันยินดีเพาะสร้างรากฐานพลังขึ้นไปทีละขั้น เวิ้งวิญญาณของมันกระเพื่อมประหนึ่งคลื่นน้ำในมหาสมุทธ เปลี่ยนรูปร่างของมันไปช้าๆ พลังวิญญาณกระเพื่อมขึ้นลงสลับกัน เด็กชายรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณของมันแข็งแกร่งขึ้นอย่างชัดเจน

การเพาะสร้างพลังวิญญาณในระยะแรกเน้นที่จิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่ง เมื่อเสริมสร้างพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เวิ้งวิญญาณก็ค่อยๆกระเพื่อมรุนแรงขึ้น เปล่งรัศมีสีฟ้าเรือง ‘เนี่ยหลี’และพวกฝังตัวเองไว้ในหอสมุด ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง

หนึ่งวัน สองวัน พลังวิญญาณของเนี่ยหลีทะยานขึ้นจากห้าเป็นสามสิบจุด นี่นับเป็นความเร็วที่น่าตระหนกยิ่ง หาก’เสิ่นซิ่ว’รู้ว่าความเร็วในการฝึกฝนของ’เนี่ยหลี’บรรลุถึงระดับที่น่าตื่นตระหนกนี้ นางจะคิดเห็นอย่างไร?

ความเร็วของ’เนี่ยหลี’กลับนับได้ว่าเชื่องช้ามากเมื่อเทียบกับพวก’ตู้เจ๋อ’ ‘ลู่เปียว’ และพวกทั้งสาม โดยเฉพาะ’ตู๋เจ๋อ’ขณะนี้น่าจะเข้าใกล้ระดับสำริดหนึ่งดาราไปแล้ว ผู้ใดทำนายได้เล่าว่าเมื่อบรรลุการบำเพ็ญแต่ละขั้น พลังวิญญาณของพวกมันจะพุ่งสูงขึ้นเพียงใด

การบรรลุระดับสำริดหนึ่งดาราในสองเดือนนั้นถือเป็นเรื่องง่ายดายมากสำหรับ’เนี่ยหลี’ เด็กชายมั่นใจว่ามันอาจบรรลุถึงระดับสองหรือสามดาราเลยด้วยซ้ำ เมื่อถึงเวลานั้นท่าทีของ’เสิ่นซิ่ว’จะเป็นอย่างไร? ขณะเดียวกันในชั้นเรียนนักรบฝึกหัด หลายวันมานี้ ที่นั่งของ’เนี่ยหลี’และพวกล้วนว่างเปล่า ไม่มีใครทราบว่าพวกมันไปไหน

“คืนนี้ถึงกำหนดนัดสามวันแล้ว คนแซ่เนี่ยผู้นั้นจะลืมนัดหรือไม่?”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’คาดหวังต่อการพบกันในคืนนี้อย่างยิ่ง เมื่อนึกถึงเรื่องราวคืนนั้น ‘เซียวหนิงเอ๋อร์’ก้มหน้าลงอย่างขวยอาย สองแก้แดงซ่าน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน งดงาม และทรงเสน่ห์นัก เด็กชายรอบกายนางได้แต่มองตาค้างเท่านั้นเอง

‘เหย่จื่อหวิน’ปรากฏคำถามในใจ ระยะหลัง’เซียวหนิงเอ๋อร์’มักมีอาการเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง นางนึกสงสัยอย่างยิ่งว่า’เซียวหนิงเอ๋อร์’มีปัญหาใดติดค้างในใจหรือไม่ นางคงไม่ได้ตกหลุมรัก’เนี่ยหลี’กระมัง? ‘เหย่จื่อหวิน’ไม่เข้าใจ เด็กแซ่เนี่ยผู้นั้นมีดีอันใด เด็กหญิงที่หยิ่งทะนงเช่น’เซียวหนิงเอ๋อร์’จึงหลงรักมัน ขณะ’เสิ่นซิ่ว’สอน สายตาของนางกวาดผ่านที่นั่งว่าเปล่าของพวก’เนี่ยหลี’ สบถในใจ

“เด็กแซ่เนี่ยนั่นคงกำลังคร่ำเคร่งฝึกฝนสินะ แล้วอย่างไร เด็กบัดซบนั่นคิดว่าเพียงฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งแล้วจะสามารถบรรลุระดับสำริดได้ง่ายๆภายในสองเดือนเช่นนั้นหรือ? ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”

หาก’เนี่ยหลี’ครอบครองเวิ้งวิญญาณเขียวหรือระดับสูงกว่า เด็กชายอาจสามารถกระทำได้จริงๆ แต่เนี่ยหลีกลับมีเพียงเวิ้งวิญญาณชาดเท่านั้น ในสายตาของนาง’เนี่ยหลี’มีแต่ประตูแพ้ และในเมื่อมันกล้าแข็งข้อกับนางต่อหน้าฝูงชน มันย่อมต้องชดใช้!

นางคาดฝันถึงภาพของ’เนี่ยหลี’หลังถูกขับออกจากสถานศึกษาว่าจะอเนจอนาถถึงเพียงไหน ‘เสิ่นซิ่ง’แสดงความสะใจออกทางใบหน้าอย่างชัดแจ้งขณะสอนต่อไปเรื่อยๆ

“ชาด ส้ม เหลือง เขียว ฟ้า คราม ม่วง คือสีของเวิ้งวิญญาณทั้งเจ็ด สีแดงคือลำดับที่ต่ำที่สุด ในประวัติศาสตร์นับร้อยปีของนครเรืองโรจน์ มีเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่บรรลุระดับเงินขาวได้ หากไม่มีโชคชะตาพิสดาร เวิ้งวิญญาณสีแดงบรรจุพลังวิญญาณได้เพียงหกร้อยจุดเท่านั้น ยิ่งเข้าใกล้ระดับนั้นเท่าไหร่ ความยากจะยิ่งยากขึ้นเป็นเงาตามตัว”

ฟังคำของ’เสิ่นซิ่ว’

กลุ่มนักเรียนสามัญชนต่างแสดงสีหน้าเสียดายออกมาอย่างชัดเจน พลังวิญญาณสูงสุดหกร้อย หมายความว่าหากไม่มีโชคใดๆ มันสามารถบรรลุได้เพียงระดับสำริดห้าดาราเท่านั้น เด็กที่มีเวิ้งวิญญาณแดงต่างรำพึงรำพันต่อโชคชะตา ไยต้องมอบมาเพียงระดับต่ำถึงเพียงนี้

“มีบางสิ่งถูกฟ้ากำหนดไว้ตั้งแต่แรก เราได้เพียงยอมรับชะตากรรม คนบางคนสูงส่งแต่แรกเกิด คนบางคนเป็นได้เพียงสามัญชนคนธรรมดาเช่นกัน!”

‘เสิ่นซิ่ว’หัวเราะเยาะ

คิ้วของ’เหย่จื่อหวิน’และ’เซียวหนิงเอ๋อร์’ขมวดมุ่นด้วยความรังเกียจในคำพูดของ’เสิ่นซิ่ว’ พวกนางไม่ชมชอบ’เสิ่นซิ่ว’ตั้งแต่แรกพบ คำพูดจาของนางสาหัสเกินไป ขณะที่นครเรืองโรจน์ยังมีภัยจากสัตว์ภูติ หญิงนางนี้ยังคงกระพือความขัดแย้งระหว่างสามัญชนกับคนสูงศักดิ์โดยไม่รู้กาลเทศะ

นักเรียนสามัญชนกำหมัดแน่น เลือดแดงประหนึ่งจะไหลหลั่งจากใจกลางฝ่ามือ แม้พวกมันจะโกรธแค้นเสิ่นซิ่วเพียงใด แต่พวกมันจำต้องทน ไม่ใช่ทุกคนที่จะกล้าขัดแย้งกับอาจารย์ด้วยการท้าพนันออกจากสถานศึกษา

พวกมันไม่กล้าที่จะกระทำเช่นนั้น และด้วยเหตุนี้ พวกมันยอมรับความกล้าของ’เนี่ยหลี’อย่างยิ่ง ที่’เนี่ยหลี’ไม่รู้คือการหยามหยันนักเรียนสามัญของ’เสิ่นซิ่ว’กลายเป็นแรงผลักดันให้นักเรียนทุกคน นักเรียนสามัญแทบทุกคนล้วนหวังให้’เนี่ยหลี’ได้ชัย ขับอาจารย์บัดซบนางนี้ออกไป การกระทำของ’เนี่ยหลี’นั้นเป็นที่ยอมรับของทุกคน

เมื่อเวลาผ่านไป เหตุการณ์ที่’เนี่ยหลี’ตบหน้าตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างจังและการพนันระหว่างมันกับ’เสิ่นซิ่ว’กลายเป็นที่รับรู้กันไปทั่ว แทบทุกคนในสถานศึกษาต่างพูดถึงเรื่องนี้ทั้งสิ้น

“มันกล้าบอกว่ามันจะเพิ่มพลังวิญญาณจากห้าถึงร้อยในสองเดือน มันไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเกินไปแล้ว”

“ใช่ แม้แต่สุดยอดอัจฉริยะเวิ้งวิญญาณฟ้ายังไม่กล้าบอกว่าจะสำเร็จได้”

“ข้าหวังว่าเนี่ยหลีจะกระทำสำเร็จ ข้าเกลียดหญิงนางนี้”

“ข้าก็ด้วย ถึงโอกาสมันจะริบหรี่ก็เถอะ”

นักเรียนเจ็ดในสิบส่วนของสถานศึกษาเป็นสามัญชน

‘เนี่ยหลี’ต่อต้าน’เสิ่นซิ่ว’และตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นปากเป็นเสียงแก่พวกมันนั้นทำให้พวกมันสนับสนุน’เนี่ยหลี’สุดใจ คนจำนวนมากไม่ชอบตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ ในขณะที่เด็กในสกุลสูงบางส่วนยังรังเกียจ’เนี่ยหลี’

แม้สกุลเสิ่นกระทำผิด พวกมันยังถือเป็นสามสกุลหลักของนคร การกระทำของ’เนี่ยหลี’คือการล่วงละเมิดผู้อาวุโสซึ่งมีผลต่อการควบคุมผู้คนในอนาคต พวกมันเห็นว่า’เนี่ยหลี’นั้นคือเศษสวะในหมู่ชนชั้นสูง

“คนบางคนชอบยืนกับชนชั้นต่ำ ใครจะไปทำอะไรมันได้”

พวกมันกล่าวถึง’เนี่ยหลี’

เที่ยงวัน นักเรียนส่วนใหญ่ของสถานศึกษากำลังรับประทานอาหาร หอสมุดเงียบเชียบ ‘เนี่ยหลี’กับพวกรับประทานอาหารร่วมกันก่อนเดินทางกลับหอสมุด

“เนี่ยหลี พลังวิญญาณของข้าบรรลุถึงแปดสิบเก้าจุดแล้ว ด้วยความเร็วระดับนี้ข้าจะบรรลุระดับสำริดหนึ่งดาราภายในสัปดาห์นี้แล้ว”

‘ตู้เจ๋อ’กระซิบ น้ำเสียงของมันปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด ความเร็วในการฝึกฝนของพลังปราณนี้ยากจินตนาการ

“ไม่เลวๆ”

‘เนี่ยหลี’กล่าว ความเร็วเช่นนี้เป็นเช่นที่’เนี่ยหลี’คาด

ไม่เพียง’ตู้เจ๋อ’ ‘ลู่เปียว’และพวกต่างก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน พลังวิญญาณของพวกมันเองล้วนก้าวหน้าไปไกล ด้วยความเร็วระดับนี้ พวกมันบรรลุระดับสำริดหนึ่งดาราได้ภายในสองเดือนแน่นอน พวกมันเพาะสร้างพลังได้เร็วเกินไป เร็วจนพวกมันไม่เห็นว่าเป้าหมายในชีวิตนั้นเลื่อนลอยอีก พวกมันก้าวหน้าเสมือนอยู่ในฝันเลยทีเดียว

“ถ้าเรามียาวิเศษ ความเร็วในการบำเพ็ญของเราจะเพิ่มไปกว่านี้อีก”

‘เนี่ยหลี’กล่าว

ฟังคำแล้วพวกทั้งหลายก็ตกใจ พวกมันยังไม่ได้ใช้ยาวิเศษช่วยในการบำเพ็ญ การบำเพ็ญกลับรวดเร็วเพียงนี้ ถ้ามียาวิเศษช่วย จะเร็วขึ้นได้อีกเท่าใด? แต่พวกมันจะหายาเหล่านั้นได้อย่างไร? ยาวิเศษที่ช่วยในการบำเพ็ญมีราคาหลายหมื่นเหรียญ แม้พวกมันจะได้เงินจากการสังหารฝูงแพะมาหนึ่งหมื่นหกพันเหรียญ หักเพียงค่าหินวิญญาณอย่างเดียวก็เหลือแค่หนึ่งหมื่นเหรียญแล้ว

“พวกเจ้ากลับไปฝึกฝนต่อ ข้ามีธุระในคืนนี้ ข้ายังจะหาวิธีหาเงินเพิ่มจากเงินหนึ่งหมื่นนี้อีกด้วย”

‘เนี่ยหลี’กล่าวกลั้วหัวเราะ เมื่อมีเงิน พวกมันจะหาซื้อยาวิเศษเหล่านั้นได้ พวกมันไม่รู้ว่า’เนี่ยหลี’วางแผนอะไร แต่ในเมื่อ’เนี่ยหลี’มีแผนแล้วพวกมันก็ไม่คิดจะสอด คืนนี้’เนี่ยหลี’กับ’เซียวหนิงเอ๋อร์’มีนัด หาก’เนี่ยหลี’ช่วยเหลือนางขจัดโรคภัยได้ นั่นย่อมเป็นผลดี ‘ตู้เจ๋อ’และพวกคิดไม่ถึงว่าธุระที่ว่าคือการไปพบกับ’เซียวหนิงเอ๋อร์’ หาไม่แล้วพวกมันคงเจ็บปวดใจยิ่ง ‘เนี่ยหลี’ผู้นี้เห็นสตรีมาก่อนสหาย!

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments