I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 19 บุตรหลานตระกูลใหญ่

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 5198 | 2534 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ใต้แสงจันทร์เจิดจ้า ทั้งผืนป่าเต็มไปด้วยเงาแมกไม้ เป็นบรรยากาศชวนวาบหวามนัก! หลังทำการนวดคลึงรักษาให้กับ’เซียวหนิงเอ๋อร์’ ‘เนี่ยหลี’ยืนมองนางกลัดกระดุมทีละเม็ด ทั้งสองหาได้เอ่ยวาจาใดต่อกันไม่ ‘เซียวหนิงเอ๋อร์’เงยหน้ามองเนี่ยหลี ใบหน้าจริงจังเคร่งขรึมร่วมกับไออุ่นที่ยังหลงเหลือจากรอยจ้ำเลือดยิ่งทำให้ใจนางขอบคุณในตัว’เนี่ยหลี’ยิ่ง

หากมิใช่ความช่วยเหลือของมัน นางไม่ทราบว่านางต้องอดทนกับความเจ็บปวดเช่นนี้อีกนานเท่าใด เป็น’เนี่ยหลี’เองที่ยื่นมือฉุดนางขึ้นจากปลักตมไร้ก้นบึ้งนี้ ‘เนี่ยหลี’รู้สึกตะขิดตะขวงกับสายตาที่จ้องมองมาของนาง

อย่างไรเสียที่ไม่ควรต้องควรแตะก็ได้แตะต้องไปแล้ว ทั้งให้ความรู้สึกดียิ่ง

“เนี่ยหลี ท่านคุกคามตระกูลเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ควรระมัดระวังตัวไว้ให้ดี”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’รู้ดีว่าสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นต่ำช้าไร้ยางอาย ปีก่อนโน้นที่สกุลมังกรเหินตกต่ำลงก็ด้วยหลงในหลุมพรางของสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์เอง ทรัพย์สินกว่าแปดส่วนตกเป็นของสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พวกมันต้องเข้าร่วมกับสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างเสียมิได้

(สกุลมังกรเหิน ต้นฉบับ eng ว่า Winged Dragon, ต้นฉบับจีนใช้คำ 翼龙(อี้หลง) อี่ตัวนี้แปลว่าปีก หลงตัวนี้คือมังกร อี่หลงคือมังกรมีปีก ยุคปัจจุบันใช้เรียก Pterodactyl ไดโนเสาร์ที่หน้าตาคล้ายนกตัวนั้นเอง ในที่นี้ขอใช้คำว่ามังกรเหินครับ ออ.  )

จนบัดนี้ สกุลมังกรเหินยังไม่อาจฟื้นคืนความรุ่งเรืองในอดีต ตกต่ำกลายเป็นเพียงตระกูลลำดับท้ายสุดในบรรดาสกุลใหญ่ รอวันกลายเป็นเพียงสกุลยศฐา

“ข้ารู้ดีว่าสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นตระกูลที่รักหน้าตา พวกมันคงไม่ไล่ล่าข้าในเร็ววันนี้ดอก พวกมันอาจรอคอยให้เรื่องราวสงบลมพัดผ่านก่อนจะไล่ล่าตัวข้าอีก”

‘เนี่ยหลี’กล่าว หัวเราะน้อยๆ

อีกไม่กี่เดือน มันจะมีเบี้ยในมือพอกับการต่อกรแล้ว เห็นแววตาของ’เนี่ยหลี’ที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น  ‘เซียวหนิงเอ๋อร์’เห็นว่าด้วยความเชื่อมั่นเช่นนี้ แม้ฟ้าถล่มลงต่อหน้า คนแซ่เนี่ยผู้นี้ยังคงเห็นว่าเรื่องราวง่ายดายอยู่เช่นนั้นเอง นางยอมรับนับถือความกล้าเช่นนี้ยิ่ง

“ครั้งหน้าให้นำหินวิญญาณก้อนใหม่มาด้วย ข้าจะช่วยทดสอบพรสวรรค์ของท่าน”

‘เนี่ยหลี’กล่าว ยิ่งทั้งสองรู้จักกันมากขึ้น ‘เนี่ยหลี’ยิ่งเห็นว่า’เซียวหนิงเอ๋อร์’ผู้นี้เป็นสตรีดีงามคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจกลายเป็นผู้ช่วยอันเข้มแข็ง ‘เนี่ยหลี’ตัดสินใจมอบวิธีสั่งสมพลังอันแข็งกล้าแก่นาง

“หินวิญญาณก้อนใหม่? เพื่อเหตุใด?”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’ถามพลางล้วงหยิบหินวิญญาณในวงแหวนมิติออกมา

“ข้ามีอยู่สามก้อน”

“เจ้ามีติดตัวหรือ? ดียิ่ง”

‘เนี่ยหลี’หัวเราะ หยิบออกมาก้อนหนึ่งส่งให้นาง กล่าวว่า

“ประจุพลังเข้าไปแล้วส่งให้ข้า”

“ได้”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’พยักหน้าพลางประจุพลังลงไปในหินวิญญาณ หินนั้นเปล่งแสงประกายออกมา ในหินวิญญาณปรากฏเป็นลักษณะของมังกรมีปีกตนหนึ่งกางปีกเหินฟ้า ‘เนี่ยหลี’มองเซียวหนิงเอ๋อร์ด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

“พลังวิญญาณแปดสิบสามจุด ธาตุลมสายฟ้า ลักษณะมังกรเหิน”

ไม่แปลกใจที่’เซียวหนิงเอ๋อร์’ฝึกฝนสั่งสมพลังได้อย่างรวดเร็วในชาติก่อน แม้นางจะป่วยเจียนตายอยู่สองปี การสั่งสมพลังของนางยังคงรวดเร็วยิ่ง นางถือครองเวิ้งวิญญาณลักษณะมังกรเหินนี่เอง พรสวรรค์อันทรงพลังที่มีเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น ด้วยลักษณะเวิ้งวิญญาณเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นวิธีสั่งสมพลังใดล้วนสั่งสมพลังได้รวดเร็วยิ่ง

หากนางได้ฝึกฝนวิธีสั่งสมพลังธาตุลมสายฟ้า การสั่งสมพลังจะยิ่งตื่นตะลึงยิ่งกว่านี้

“ธาตุลมสายฟ้า ลักษณะมังกรเหิน? คือสิ่งใด?”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’ไม่เข้าใจสิ่งที่’เนี่ยหลี’พูดแม้แต่น้อย ดวงตางามคู่นั้นแสดงความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด

“หมายความว่าท่านเหมาะสมกับการฝึกวิธีสังสมพลังในธาตุลมสายฟ้าอย่างยิ่ง”

‘เนี่ยหลี’ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึง กล่าวว่า

“ข้ามีวิธีสั่งสมพลังอยู่ ข้าจะมอบให้แก่ท่าน”

วิชาสั่งสมพลังนี้เป็น’เนี่ยหลี’ค้นพบจากนครโบราณที่สาบสูญ เหมาะสมแก่การให้ผู้มีเวิ้งวิญญาณลักษณะมังกรเหินเป็นที่สุด เมื่อได้ฝึกฝน พลังวิญญาณจะพุ่งทะยานไม่หยุดยั้ง ก้าวล้ำเนี่ยหลีและเพื่อนร่วมรุ่น เวิ้งวิญญาณมังกรเหิน! เป็นพรสวรรค์ที่แม้แต่เนี่ยหลียังอิจฉา!

“วิธีสั่งสมพลังนี้เหนือกว่าที่ท่านฝึกฝนอยู่แน่นอน”

‘เนี่ยหลี’กล่าวพลางถ่ายทอดบทสวดสั่งสมพลังแก่’เซียวหนิงเอ๋อร์’ ‘เซียวหนิงเอ๋อร์’พยายามจดจำวิธีสั่งสมพลังนี้ นางรู้สึกได้ทันทีว่าวิชาสั่งสมพลังธาตุลมสายฟ้านี้แกร่งกร้าวไร้เทียมทาน วิธีสั่งสมพลังทั้งหลายทั้งมวลที่นางเคยพบเห็นล้วนเป็นเพียงวิชาของเศษสวะเมื่อเทียบกับวิชานี้

“วิชานี้มีชื่อว่า [มังกรเหินวายุอสนี] (เฟิงเหลยอี้หลงเชวี่ย)”

‘เนี่ยหลี’หัวร่อ

“นี่เป็นวิชาที่เหมาะกับท่านเป็นที่สุด!”

“ขอบคุณ”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’เงยหน้า แววตานางสำนึกในบุญคุณยิ่ง นางไม่ทราบว่าชั่วชีวิตนี้นางจะชดใช้ได้อย่างไร แรกเริ่มคือปลดปล่อยนางจากคามเจ็บปวดอันทุกข์ทรมาน จากนั้นยังมอบวิธีสั่งสมพลังอันล้ำค่า ‘เซียวหนิงเอ๋อร์’ขบริมฝีปากแน่นด้วยความขัดแย้งในใจ กล่าวว่า

“ข้าไม่ทราบจริงๆว่าจะทดแทนบุญคุณท่านได้อย่างไร หากท่านต้องการให้ข้าทำสิ่งใด ข้าจะจัดการให้”

ฟังคำของนางแล้ว ‘เนี่ยหลี’ถึงกับใจสั่นสะท้านเมื่อมองใบหน้าอันงามงด เด็กชายยิ้มขื่น กล่าวว่า

“เราล้วนเป็นสหาย เช่นนั้นความช่วยเหลือเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องธรรมดา หากข้ามีปัญหาต่อไปในภายหน้า แน่นอนว่าท่านจะช่วยเหลือข้าเช่นกันใช่หรือไม่?”

“อืม”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’พยักหน้า ดวงตาทอแววแห่งความเศร้าเสียใจวูบหนึ่ง หาก’เนี่ยหลี’ร้องขอให้นางคบหากับมัน นางจะตอบตกลงโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ทั้งสองฝึกวิชากันอยู่หลายชั่วยาม ‘เซียวหนิงเอ๋อร์’นั้นฝึกฝนวิชามังกรเหินวายุอสนี(เฟิงเหลยอี้หลง)

พลังการฝึกฝนของนางนั้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ถือครองเวิ้งวิญญาณมังกรเหินเป็นผู้มีพรสวรรค์เหนือผู้คนนับหมื่น ร่วมกับการฝึกฝนวิชาสั่งสมพลังขั้นสูงสุดยอดที่เหมาะสมกับผู้ฝึกฝนเช่นนี้ พลังการฝึกปรือย่อมก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

แม้พลังเทพวิถีฟ้า(เทียนเต้าเสินเชวี่ย) ของ’เนี่ยหลี’จะแข็งแกร่งกว่าวิชามังกรเหินวายุอสนีในบั้นปลาย แต่ในช่วงต้นของการฝึกฝน ความเร็วในการสั่งสมพลังของวิชามังกรเหินวายุอสนีเหนือกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด

เมื่อตกเย็น ร่างของ’เซียวหนิงเอ๋อร์’ก็เปล่งประกายสีครามจางๆ

“พลังของวิชามังกรเหินวายุอสนีน่าเกรงขามเกินไปแล้ว เพียงครู่เดียวนางก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตของชั้นสำริดหนึ่งดารา”

‘เนี่ยหลี’ถอนหายใจ ทั้งมัน ‘ตู้เจ๋อ’ ‘ลู่เปียว’ และก๊วนสามสหายนั้น กลายเป็นเพียงคนธรรมดาเมื่อเทียบกับนาง เมื่อ’เซียวหนิงเอ๋อร์’ลืมตาขึ้น ‘เนี่ยหลี’ก็จากไปแล้ว ประกายตาของ’เซียวหนิงเอ๋อร์’นั้นคือความผิดหวัง

ตั้งแต่เยาว์ นางไม่ได้สุงสิงกับเด็กชายร่วมรุ่น ‘เนี่ยหลี’เป็นเด็กชายเพียงคนเดียวที่ทำให้นางมองมันด้วยมุมมองใหม่ เพียงคิดถึงมัน ในใจของนางก็รู้สึกถึงความอบอุ่น หากไม่ได้พบกับ’เนี่ยหลี’ ชีวิตนางจะยิ่งมืดมนถึงเพียงไหน? หากไม่มีมัน ชีวิตนางจะเปี่ยมไปด้วยความหวังเช่นนี้หรือไม่? นางตัดสินใจแล้ว ไม่ว่า’เนี่ยหลี’จะชมชอบนางหรือไม่ นางจะยืนหยัดอยุ่ข้างมัน จนกว่าเนี่ยหลีจะรับรู้ถึงความรู้สึกของนาง

หากเหล่าเด็กชายผู้ชมชอบ’เซียวหนิงเอ๋อร์’รับรู้เช่นนี้ พวกมันจะใจสลายถึงเพียงไหน?

“พลังวิญญาณเก้าสิบสองจุด ข้าใกล้จะบรรลุชั้นสำริดหนึ่งดาราแล้ว”

‘เซียวหนิงเอ๋อร์’ชุ่มโชกด้วยเหงื่อ ความเหนอะเหนียวนั้นทำให้นางไม่สบายตัว แต่ผิวของนางกลับยิ่งเนียนนุ่มและใสกระจ่างยิ่งกว่าเดิม เหม่อมองในทิศทางอัน’เนี่ยหลี’จากไป ‘เซียวหนิงเอ๋อร์’เก็บข้าวของก่อนเดินออกจากสนามฝึกฝนไป

เช้าตรู่ ร้านสมุนไพรทุกร้านในนครเรืองโรจน์ปรากฏกลุ่มคนลึกลับแต่งกายในชุดของบ่าวทาสสกุลใหญ่ ออกกว้านซื้อหญ้าหมอกม่วงอย่างบ้าคลั่ง ปริมาณที่พวกมันซื้อไปนั้นมหาศาลจนสินค้าที่คงค้างมานานหลายปีล้วนขายออกไปหมดสิ้น

“เจ้าพวกนั้นจะซื้อหญ้าหมอกม่วงไปมากขนาดนั้นทำไม?”

“ข้ารู้จักพวกนั้น พวกมันคือบ่าวของคุณหนูเซียวแห่งสกุลมังกรเหินนั่นเอง”

“คุณหนูเซียวจะเอาหญ้าหมอกม่วงไปมากมายปานนั้นเพื่อเหตุใด? ข้าพิศวงนัก”

หญ้าหมอกม่วงไม่มีประโยชน์อื่นใดนอกจากเผาแล้วใช้ควันเป็นยาขับไล่แมลง ด้วยขนาดของเคหาสน์มังกรเหิน เพียงสิบชั่งก็นับว่าเพียงพอแล้ว แต่บ่าวทาสกลุ่มนี้กลับกว้านซื้อไปหลายล้านชั่ง ผู้พบเห็นล้วนตื่นตะลึง หญ้าหมอกม่วงทุกต้นในนครล้วนถูกกว้านซื้อไป

บางร้านถึงกับถอนหญ้าในสวนของตนออกขาย อาจบางทีนครเรืองโรจน์คงพบกับการขาดแคลนหญ้าหมอกม่วงไปอีกสามปี แต่มีผู้ใดสนใจกัน? เมื่อ’เนี่ยหลี’ได้รับวงแหวนมิติอันบรรจุด้วยหญ้าหมอกม่วงหลายล้านชั่งนั้น แม้แต่มันก็ยังตกตะลึง หญ้าหลายล้านชั่งคิดเป็นเงินหลายล้านเหรียญจิตมาร

เงินจำนวนนี้ไม่นับว่าน้อยเลย แต่’เซียวหนิงเอ๋อร์’หาได้สนใจไม่ ขอเพียง’เนี่ยหลี’พอใจ นางยินดีกระทำทุกสิ่ง อย่างไรก็เป็นเงินเพียงไม่กี่ล้านเหรียญ ไม่อาจเปรียนกับมูลค่าของวิชามังกรเหินวายุอสนีได้แม้แต่ส่วนเสี้ยว เมื่อสกุลมังกรเหินทราบว่าการสั่งสมพลังของ’เซียวหนิงเอ๋อร์’ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว

บรรลุผ่านระดับเก้าสิบจุดในเวลาไม่กี่วัน เหยียบย่างเข้าสู่ขอบเขตของชั้นสำริดหนึ่งดารา ทั้งตระกูลล้วนตื่นตะลึงและมองเงินให้’เซียวหนิงเอ๋อร์’หลายล้านเหรียญ รวมไปถึงของเล่นที่ช่วยเสริมสร้างพลังการฝึกปรืออีกหลายชิ้น ‘เซียวหนิงเอ๋อร์’ไม่ได้ขาดแคลนเงินทองเลยแม้แต่น้อย

แม้กำลังตกต่ำ แต่อูฐผอมยังใหญ่กว่าม้า สินทรัพย์ของตระกูลมังกรเหินยังนับว่ามหาศาล ทั้งพวกมันไม่หวงแหนทรัพย์สินในการฝึกฝนลูกหลานแม้แต่น้อย หญ้าหมอกม่วงปริมาณมหาศาลเพียงนี้เป็นที่พอใจของ’เนี่ยหลี’ยิ่งนัก แม้มันจะไม่สามารถคืนเงินทองให้กับ’เซียวหนิงเอ๋อร์’ในทันที

แต่เวลานั้นห่างออกไปไม่ไกล ‘ตู้เจ๋อ’ ‘ลู่เปียว’ และพวกทั้งสามล้วนประหลาดใจ พวกมันไม่เข้าใจว่า’เนี่ยหลี’ต้องการทำอะไรกับหญ้าหมอกม่วงปริมาณมหาศาลเพียงนี้ เด็กชายไม่สนใจ หาที่นั่งในหอสมุดก่อนเริ่มขีดเขียนอะไรบางอย่าง

บ่ายวันนั้น ผู้คนจำนวนมากเดินเข้าออกจากหอสมุด ‘ตู้เจ๋อ’กับ’ลู่เปียว’ศึกษาตำราว่าด้วยวิชายุทธ์และลายอาคมอย่างขมักเขม้นภายใต้การชี้แนะของเนี่ยหลี คนผู้หนึ่งต้องสั่งสมความรู้ไว้ก่อนเพื่อบรรลุการบำเพ๊ญพลังชั้นสูง

หลังการฝึกฝนวิธีสั่งสมพลังอันแข็งกล้า แม้แต่สมองของพวกมันก็ได้รับการพัฒนาไปด้วย พวกมันไม่ลืมเลือนเรื่องทั่วไปอีกแล้ว ทั้งพลังการเรียนรู้ก็รวดเร็วยิ่ง ห่างไปไม่ไกลจากกลุ่มเนี่ยหลี เด็กกลุ่มหนึ่งชุมนุมกันอยู่ด้วยความคึกครื้น

“เกราะชิ้นนี้มีนามว่าเกราะรบเพลิงทมิฬ(เหยียนหมิงจ้านเจี่ย) ชุดรบระดับสำริด หากมีมีเงินหลายล้านเหรียญ ไม่อาจซื้อหาได้”

เด็กนักเรียนคนหนึ่งโอ้อวดชุดเกราะสีแดงของมัน ด้วยร่างสูงใหญ่ของมัน ทำให้มันดูมีมาดของผู้เยี่ยมยุทธ์อยู่ ชื่อของมันคือ’เฉินหลินเจี้ยน’จากตระกูลปราชญ์ลึกล้ำ ทายาทสายตรงของตระกูลเอง อายุสิบห้า บรรลุชั้นสำริดห้าดารา ใกล้เหยียบย่างสู่ชั้นเงินขาวเต็มที

ในบรรดาตระกูลใหญ่ ตระกูลปราชญ์ลึกล้ำนับว่าร่ำรวยที่สุด ‘เฉินหลินเจี้ยน’เองนับว่ามีชื่อเสียงในหมู่นักเรียน มีลูกน้องอยู่พอสมควร เมื่อสวมใส่เกราะรบเพลิงทมิฬนี้ ก่อนถึงชั้นเงินขาวนับว่าไร้เทียมทาน

“เป็นชุดรบที่งดงามนัก”

เด็กหญิงหลายนางแสดงสายตาอิจฉาเมื่อเห็นชุดรบนี้ บางคนถึงกับพยายามโปรยหว่านเสน่ห์ ชะม้ายชายตามอง’เฉินหลินเจี้ยน’เป็นระยะๆ

“ข้าให้เจ้า”

‘เฉินหลินเจี้ยน’โบกมือ ถอดเกราะรบเพลิงทมิฬออกแล้วโยนไปให้ลูกน้องคนหนึ่ง ชุดรบราคาหลักล้าน มอบให้กันง่ายๆเช่นนี้? ผู้เห็นเหตุการณ์ล้วนตื่นตะลึงอยู่บ้าง

เงินเพียงไม่กี่ล้านนับว่าน้อยนิดนักสำหรับคนแซ่เฉิน มันหัวเราะเบาๆกล่าวว่า

“ยังมีหญ้าปราชญ์ลึกล้ำอายุห้าปีอยู่หกต้น ข้าเพิ่งนำมาจากบ้าน หากติดตามทำงานให้ข้าอย่างขยันขันแข็ง ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าเสียเปรียบ!”

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments