I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 20 หญ้าหมอกม่วง

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 5079 | 2534 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

หญ้าเสิ้งหมิงเป็นผลผลิตของตระกูลปราชญ์วิเศษ หญ้าชนิดนี้มีผลเสริมความแข็งกล้าของพลังวิญญาณตามอายุของหญ้า หญ้ายิ่งแก่ ยิ่งทรงพลัง หญ้าอายุห้าปีมีราคาอยู่ที่ห้าหมื่นเหรียญ ส่วนหญ้าสิบและยี่สิบปีนั้น ยิ่งมีราคาสูงขึ้นไปอีกหลายสิบเท่า

“รับคำสั่งนายน้อยเฉิน”

“เราจะเชื่อฟังท่าน”

‘เฉินหลินเจี่ยน’มองไปรอบๆ ในใจนึกนับจำนวนคนที่แสดงตัว กล่าวว่า

“ยี่สิบคน เรายังต้องการคนมากกว่านี้”

ไม่นานมานี้เอง มีการค้นพบซากเมืองเก่าจากยุคมืด ผู้คนจำนวนหนึ่งออกเดินทางไปผจญภัยหาขุมทรัพย์แล้ว ‘เฉินหลินเจี่ยน’ต้องการคนไปร่วมแบ่งปันน้ำแกงถ้วยนี้เอง ‘ตู้เจ๋อ’ ‘ลู่เปียว’ และพวกทั้งสามมองคนกลุ่มนี้จากระยะห่างไป

“ถ้าเราได้หญ้าเสิ้งหมิง ตู้เจ๋อต้องบรรลุระดับสำริดหนึ่งดาราได้แน่”

‘ลู่เปียว’พึมพำ แต่ยาวิเศษอย่างหญ้าเสิ้งหมิงมิใช่สิ่งที่พวกมันจะมีได้ ถ้าพวกมันมีเงิน พวกมันย่อมสามารถซื้อหาสมุนไพรทรงค่าและยาวิเศษช่วยเร่งการฝึกฝนได้ สิ่งที่’เนี่ยหลี’สนใจไม่ใช่เงินทอง แต่เป็นสิ่งอื่นต่างหาก

ชาติก่อนนั้น มือดีจำนวนมากออกแสวงโชคในซากโบราณสถานนอกนครเรืองโรจน์แต่ไม่พบสิ่งใด ‘เฉินหลินเจี่ยน’และพวกกลับได้พบทางลับซึ่งบรรจุด้วยทรัพย์สมบัติมหาศาล ‘เนี่ยหลี’ทราบเหตุการณ์ครั้งนั้นทั้งหมด เพราะ’เหย่จื่อหวิน’เองก็เข้าร่วมการค้นหาครั้งนั้นด้วย

‘เสิ่นเยว่’ค้นพบตะเกียงวิญญาณซึ่งประมูลได้ถึงหนึ่งล้านเหรียญ ‘เนี่ยหลี’ไม่เสียเวลาใส่ใจเงินเพียงหนึ่งล้านเหรียญ เพียงแต่มันรู้วิธีใช้ตะเกียงวิญญาณนี้ ถ้ามันได้ครอบครอง นั่นย่อมเป็นสิ่งส่งเสริมมันในภายภาคหน้า ตะเกียงวิญญาณนั้น อย่างไรมันก็ต้องได้มา!

‘เนี่ยหลี’ลุกขึ้นยืน ก่อนเดินตรงไปยังกลุ่มของ’เฉินหลินเจี่ยน’

“ข้าต้องการร่วมกลุ่มของท่าน เพียงไม่ทราบนายน้อยเฉินว่าอย่างไร?”

เมื่อ’เนี่ยหลี’มอง’เฉินหลินเจี่ยน’ ความทรงจำเก่าๆก็ผุดขึ้น ‘เฉินหลินเจี่ยน’นั้นเป็นชนรุ่นหลังที่โดดเด่นของเหล่าสกุลชั้นสูง ครั้งกระนั้นมันใกล้จะบรรลุชั้นเหล็กนิลแล้ว แม้’เนี่ยหลี’ไม่อาจตัดสินว่า’เฉินหลินเจี่ยน’ดีหรือเลวเพียงใดด้วยไม่รู้จักมันเป็นการส่วนตัว

แต่ในศึกปกป้องนคร เมื่อมันทราบว่าสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ละทิ้งการศึก ปล่อยให้ประตูตะวันตกแตกพ่าย มันไล่ล่าสังหารสมาชิกสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์ไปหกนายด้วยความเกรี้ยวกราด นับเป็นบุรุษที่รู้บุญคุณความแค้นผู้หนึ่ง ‘เฉินหลินเจี่ยน’เงยศีรษะขึ้นมอง’เนี่ยหลี’อยู่ครู่หนึ่ง ตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า

“เจ้าเป็นใคร? รู้หรือไม่ว่าเรากำลังทำอะไร?”

ผู้คนรอบกาย’เฉินหลินเจี่ยน’ล้วนจับจ้องไปยัง’เนี่ยหลี’ด้วยสายตาสงสัย

“เด็กน้อย เจ้าบรรลุชั้นสำริดหรือไม่ หากไม่แล้วอย่าได้มาเล่นแถวนี้”

‘เนี่ยหลี’หันหน้ามองชายผู้กล่าว ตอบว่า

“ข้าทราบดีว่าพวกท่านกำลังไปที่ไหน ออกแสวงโชคที่ซากนครหลันเฉิงใช่หรือไม่?”

‘เฉินหลินเจี่ยน’แสดงสีหน้าตื่นตระหนกในพลัน ‘เด็กน้อยผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังจะไปนครหลันเฉิง? เรื่องราวนี้กระทำเป็นความลับ หาได้กล่าวแก่ใครอื่นไม่ หากทางตระกูลรู้ เช่นนั้นพวกเราคงถูกขัดขวางแล้ว

“เจ้าเป็นใคร?”

‘เฉินหลินเจี่ยน’หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาแสดงความดุร้ายออกมา

“เนี่ยหลี”

“เนี่ยหลี?”

‘เฉินหลินเจี่ยน’นึกออกแล้ว เป็น’เนี่ยหลี’ที่เพิ่งมีชื่อระหว่างนี้เอง ฟังว่ามันกล้าประนามสกุลเทพศักดิ์สิทธิ์เรื่องปลอมแปลงอาคม แม้แต่’เฉินหลินเจี่ยน’ยังนึกขายหน้าแทน

“ฟังว่าเจ้าอ่านตำราโบราณมามากหลาย?”

“ถูกแล้ว ข้าอ่านทุกเล่มที่มีอยู่ในหอสมุดมาแล้ว”

‘เนี่ยหลี’พยักหน้าเล็กน้อย แสดงสีหน้าที่มั่นใจเต็มเปี่ยม

“ฮ่าๆ วาจาเขื่องโขนัก”

“ขนที่ลับยังไม่ขึ้น กลับกล้าบอกว่าเจนจบตำราโบราณทุกประเภทในหอสมุด น่าขัน เจ้าอ่านตั้งแต่อยู่ในครรภ์ยังไม่อาจเจนจบถึงเพียงนั้น”

คนรอบๆเอ่ยวาจาดูแคลน

“เนี่ยหลี คนผู้นี้น่าสนใจนัก”

‘เฉินหลินเจี่ยน’ไม่สงสัยวาจาของ’เนี่ยหลี’ มันเคาะนิ้วอยู่ครู่ถามว่า

“ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น บอกข้าทีว่าซากนครหลันเฉิงนี้มาจากยุคใด?”

“ด้วยหลักฐานในปัจจุบัน ซากอาคารในนครสร้างในสัณฐานกลม ตัวเมืองกลับวางผังเป็นสี่เหลี่ยม สิ่งก่อสร้างลักษณะนี้ปรากฏเพียงสองยุคหนึ่งคือยุคเฟิงเสวีย อีกหนึ่งคือยุคเสิ้งกว๋อ  หากแต่เมื่อพิจารณาโดยละเอียด ฟังว่ามีคนพบภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปบัวใหญ่ ภาพบัวติดฝาผนังเช่นนี้เป็นที่นิยมมากในปลายยุคเสิ้งกว๋อ ดังนั้นข้าเชื่อว่านครหลันเฉิงนั้นอยู่ระหว่างเสิ้งกว๋อกับยุคมืดเอง…”

เสียงของ’เนี่ยหลี’หาได้อ่อนแอหรือรัวเร่งไม่ขณะวิเคราะห์ที่มาของซากนครหลันเฉิง ฟังคำแล้ว ลิ่วล้อของ’เฉินหลินเจี่ยน’ได้แต่ตื่นตะลึง พวกมันเข้าใจคำพูดของ’เนี่ยหลี’เพียงครึ่งเดียว

“ดี!”

‘เฉินหลินเจี่ยน’ผุดลุกขึ้นยืน มันไม่คิดว่า’เนี่ยหลี’จะวิเคราะห์ที่มาของซากนครได้ง่ายดายเช่นนี้ แม้ความรู้เหล่านี้นับว่าง่ายดาย แต่นักประวัติศาสตร์ของนครเรืองโรจน์หลายท่านกลับไม่อาจวิเคราะห์ได้ดีเช่นนี้ สายตาของ’เฉินหลินเจียน’ฉายแววยอมรับนับถือ

“นับแต่นี้ติดตามข้าเป็นอย่างไร ยาวิเศษในการฝึกฝนเรียนรู้ทั้งหลายไม่มีทางขาดมือ?”

ลิ่วล้อของ’เฉินหลินเจี่ยน’ตกใจ พวกมันไม่คิดว่า’เฉินหลินเจี่ยน’จะประเมินค่าเด็กน้อยนี้สูงเพียงนี้ ให้เป็นลิ่วล้อหรือ? ‘เนี่ยหลี’หัวเราะน้อยๆ

“ครั้งนี้เป็นเพียงความร่วมมือระหว่างกันเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างได้ผลประโยชน์ ข้าเชื่อว่าไม่มีใครเข้าใจโครงสร้างของซากนครได้ดีกว่าข้า หากพบทรัพย์สมบัติ ข้าเลือกชิ้นแรก ที่เหลือเป็นของท่าน หากไม่ได้ดังนี้ข้าจะไปของข้าเอง”

“เลือกของชิ้นแรก เจ้าเห็นว่าเจ้าเป็นใคร?”

“ไม่บรรลุชั้นสำริดกลับเหิมเกริมพูดจาเช่นนี้กับนายน้อย?”

‘เฉินหลินเจี่ยน’มองดู’เนี่ยหลี’ ร่างของเด็กชายเปล่งประกายแห่งความเชื่อมั่น ทำให้’เฉินหลินเจี่ยน’งงงันยิ่ง เด็กผู้นี้ไม่แม้แต่จะบรรลุชั้นสำริด มันเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากไหน?

“ข้ารับประกันว่าท่านจะมีแต่ได้ไม่มีเสียเมื่อนำข้าไปด้วย”

‘เนี่ยหลี’กล่าวด้วยความเชื่อมัน มันรู้ตำแหน่งของสมบัติในนครอย่างชัดเจน นั่นทำให้มันมันใจอย่างยิ่ง ‘เฉินหลินเจี่ยน’มีแผนที่ซากนครฉบับไม่สมบูรณ์ มันเงียบไปครู่หนึ่ง นี่หมายความว่า’เนี่ยหลี’มีแผนที่ที่ดีกว่ามันใช่หรือไม่?

“ได้ เป็นไปตามนั้น ข้าจะทบทวนอีกครั้ง หากติดตามข้า ผลรับของเจ้าย่อมไม่น้อย แต่เมื่อไม่ยินดี ข้ายังคงเชื่อว่าเรายังมีโอกาสร่วมมือกันอีก”

‘เฉินหลินเจี่ยน’หัวร่อ ลิ่วล้อของมันล้วนงุนงง นายน้อยเฉินกลับรับปากเข้าจริง?

“หวังว่าเราจะได้ร่วมมือกันด้วยดี”

‘เนี่ยหลี’พูดอย่างใจเย็นก่อนหันกายเดินจากไป

“อีกสามวันให้หลัง เวลาหกโมงเช้า เราพบกันที่นี่”

‘เฉินหลินเจี่ยน’มองตามเนี่ยหลีผู้หันกายจากไป ใบหน้าของมันเผยอยิ้มซุกซน

“เด็กเนี่ยหลีผู้นี้น่าสนใจยิ่ง”

“ขุดค้นซากนครหลันเฉิง? เห็นทีข้าคงต้องเตรียมการบางอย่างไว้บ้าง”

‘เนี่ยหลี’พึมพำ มันเตรียมตัวพร้อมเสมือนออกผจญภัยคนเดียว ด้วยรู้ดีกว่าการเดินทางโดยยังไม่บรรลุชั้นสำริดนั้นนับว่าอันตรายอยู่ดี เวลานั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนถึงตอนบ่าย ณ สมาคมผู้ปรุงยานครเรืองโรจน์ ประธานสมาคมนักปรุงยาในปัจจุบันคือสตรีนาม’หยางซิน’

แม้นางจะมีอายุเพียงยี่สิบห้า แต่กลับประสบความสำเร็จแต่เยาว์วัย นางเป็นจอมภูติชั้นทองคำ แม้ไม่นับว่าโดดเด่นล้ำแต่อย่างใด แต่นี่นับว่าเหนือกว่าผู้อาวุโสในสมาคมหลายท่านแล้ว ด้วยความสดสวย ครั้งกระนั้นที่นางขึ้นนั่งแท่นประธานสมาคม คนในสมาคมล้วนเห็นว่านางใช้ความงามช่วงชิงตำแหน่งนี้มา

แต่เมื่อ’หยางซิน’แสดงความสามารถให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ข่าวลือทั้งหลายก็หยุดไปด้วยเหตุนี้เอง ‘หยางซิน’รวบรวมจดหมายที่ส่งมายังสมาคมผู้ปรุงยาเป็นประจำเช่นทุกวัน นักปรุงยาหลายท่านต่างส่งประสบการณ์การหลอมยาของตนเข้ามายังสมาคม จากนั้นทางสมาคมจะรวบรวมข้อคิดเห็นทั้งหลายออกมาตีพิมพ์เป็นหนังสือแจกจ่ายแก่สมาชิก

ด้วยตำราหลอมสร้างยานั้นหายสาบสูญไปเก้าในสิบส่วน ทำให้วิชาชีพของนักปรุงยาแม้จะสำคัญ แต่เมื่อพิจารณาจากผลรับอันอ่อนด้อยของยาที่หลอมสร้าง ก็นับได้ว่าเป็นวิชาชีพชั้นล่างวิชาหนึ่ง ‘หยางซิน’เปิดอ่านจดหมายฉบับแล้วฉบับเล่า จดหมายบางฉบับนั้นกลับกลายเป็นจดหมายสารภาพรัก แต่นางโยนทิ้งไปโดยไม่แยแส

ก่อนจดหมายฉบับหนึ่งจะทำให้นางสนใจยิ่ง

“ว่าด้วยการใช้หญ้าหมอกม่วงในการปรุงยา?”

‘หยางซิน’ขมวดคิ้วเล็กน้อย ความกังขาฉายแววชัดบนดวงหน้าขาวใส หญ้าหมอกม่วงยังมีคุณประโยชน์อื่นใดนอกจากการเผาเพื่อขับแมลงหรือ? ‘หยางซิน’อ่านจดหมายซึ่งบรรยายสรรพคุณทางยาของหญ้าหมอกม่วงต่อไป โอสถหลอมวิญญาณ ยาเม็ดบำรุงจิต ทั้งสองนี้เมื่อเสริมเติมหญ้าหมอกม่วงลงไปเล็กน้อย

เพิ่มสรรพคุณได้สามส่วน หญ้าหมอกม่วงใช้ร่วมกับสมุนไพรอีกห้าชนิด ต้มอาบเป็นน้ำยาสมุนไพร สามารถใช้หล่อเลี้ยงพลังวิญญาณ จดหมายระบุวิธีใช้หญ้าชนิดนี้มากกว่าหกสิบชนิด ครึ่งหนึ่งของสรรพคุณนี้นับว่าล้ำค่าสุดประมาณ หากเรื่องราวนี้ถูกพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง

เช่นนั้นราคาของสมุนไพรชนิดนี้จะพุ่งทะยานขึ้นหลายสิบหลายร้อยเท่า ‘หยางซิน’แค่นเสียงเย็นชา

“คิดยืมมือข้าปั่นราคาหญ้าหมอกม่วง? อย่างน้อยให้มีความจริงปนอยู่บ้างเถอะ เจ้าตัวหลอกลวง!”

‘หยางซิน’โยนจดหมายทิ้งไปไม่ไยดีด้วยนางไม่เชื่อว่าหญ้าหมอกม่วงธรรมดาสามัญจะมีสรรพคุณครอบจักรวาลเช่นนี้ แต่ขณะอ่านจดหมายฉบับอื่น ‘หยางซิน’กลับยิ่งกระวนกระวายใจ หากหญ้าหมอกม่วงมีสรรพคุณเช่นที่บรรยายจริง เช่นนั้นจะยิ่งพัฒนาวงการหลอมสร้างโอสถไปก้าวใหญ่

“ช่างมันเถอะ ลองดูไม่เสียหาย เอาหญ้าหมอกม่วงมาให้ข้า!”

‘หยางซิน’ตะโกน หญ้าหมอกม่วงในสมาคมยังพอมีเก็บไว้อยู่บ้าง เช่นนั้นย่อมมีคนหาให้นางได้ ไม่นานก็มีคนจัดการให้ตามประสงค์

“ประธานหยาง เราไม่ได้เก็บสมุนไพรนี้ไว้มากนัก เรามีอยู่เพียงสามจินเท่านั้น”

‘หยางซิน’ขมวดคิ้วเล็กน้อย ระลึกได้ว่าก่อนนี้มีคนกว้านซื้อหญ้าหมอกม่วงไปมหาศาล ในฐานะประธานสมาคมจะไม่ทราบได้อย่างไร

“ได้ ทราบแล้ว”

‘หยางซิน’พยักหน้า เริ่มใช้หญ้าหมอกม่วงร่วมประสานในการหลอมสร้างโอสถหลอมวิญญาณและยาเม็ดบำรุงจิต เทียบยาทั้งสองนี้สืบทอดมาในนครเรืองโรจน์นับร้อยปีแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าปรับเปลี่ยนแปลงมาก่อน ด้วยวัตถุดิบของยาสองชนิดนี้มีราคาสูงยิ่ง หากล้มเหลวย่อมเป็นที่น่าเสียดาย ยังมีใครกล้าเพิ่มเติมส่วนผสมโดยพลการ?

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments