I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 105 สาเหตุที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 6222 | 2427 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ณ จวนเจ้าเมือง

หลังจาก’เนี่ยหลี่’กลับมาอย่างปลอดภัย เข้าก็เริ่มฝึกต่อ

หุ่นเชิดวิญญาณที่มีวิญญาณ(ผี)บรรพชนผู้ก่อตั้งผนึกอยู่ภายในกำลังบินไปรอบๆ หลังจากที่ต้องทนจับเจ่าอยู่ในเขตแดนสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์มานาน ขอเพียงเป็นภายนอกเขตแดนไม่ว่าที่ใดก็สามารถทำให้อี้หยานสดชื่นขึ้นได้

“ข้าไม่นึกเลยว่าหลังจากผ่านไปนับพันปี นครเรืองโรจน์จะยังคงอยู่ ข้าไม่ค่อยอยากจะรื้อฟื้นความหลังสักเท่าไหร่”

‘อี้หยาน’ถอนหายใจอย่างโศกเศร้า

“ข้าได้ยินว่าเจ้าเมืองคนปัจจุบันเป็นคนตระกูลอี้ นั่นใช่ทายาทตระกูลอัสนีบาตของข้าหรือเปล่า?”

‘เนี่ยหลี่’ลืมตาขึ้นกล่าวว่า

“บรรพชนก่อตั้งอี้หยาน เลิกคิดได้เลย ตระกูลอัสนีบาตน่ะล้วนจากไปหมดแล้ว เจ้าเมืองคนปัจจุบันเป็นคนตระกูลวายุเหมันต์ต่างหาก”

‘อี้หยาน’แค่นเสียงอย่างภาคภูมิกล่าวว่า

“เด็กเอ๋ย พนันได้ว่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้ ความจริงแล้วตระกูลวายุเหมันต์ก็มาจากตระกูลอัสนีบาตนั่นแหละ เป็นหนึ่งในตระกูลสาขาของตระกูลอัสนีบาต ต่อให้เจ้าเมืองของเจ้าเห็นข้า มันก็ยังต้องเรียกข้าเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูล จนป่านนี้เจ้ายังไม่เคารพข้า…”

“เจ้าเมือง? ท่านคิดว่าข้าเห็นเจ้าเมืองอยู่ในสายตาหรือ? ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นพ่อตาข้า ข้าจะบังคับให้เขามอบตำแหน่งเจ้าเมืองให้ข้านานแล้ว”

‘เนี่ยหลี่’รู้สึกสมเพชกับคำพูดของ’อี้หยาน’ก่อนจะพูดต่อว่า

“เก่งสุดที่พวกท่านเคยเจอก็แข็งแกร่งได้แค่ชั้นตำนานเท่านั้นเอง”

“ไอ้หนู ระวังน้ำเสียงหน่อย เจ้าเคยเจอใครแข็งแกร่งกว่าชั้นตำนานหรือไง?”

‘เนี่ยหลี่’ยิ้มบางและพูดว่า

“แน่นอนว่าข้าเคยพบ ชั้นตำนานเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการฝึกฝนเท่านั้น ท่านทราบหรือไม่ว่าเหตุใดพวกสัตว์อสูรถึงก่อความวุ่นวายขึ้นมา?”

“ข้าจะไปรู้เหรอ? บางทีพวกสัวต์อสูรนั่นคงโดนบางอย่างยั่วยุล่ะมั้ง”

‘อี้หยาน’พูด ยังคงฝืนยอมรับว่าตนผิด ‘เนี่ยหลี่’พูดอย่างเอื่อยๆ ว่า

“ไม่ได้ถูกยั่วยุ มีสัตว์อสูรตัวหนึ่งได้รับปัญญาแห่งฟ้าและได้รับที่ก้าวข้ามขีดจำกัดของระดับตำนาน ยอดฝีมือระดับตำนานมากกว่าสามร้อยคนในทวีปเทพรู้สึกถึงสัตว์อสูรนี้และตัดสินใจฆ่ามันทิ้ง อย่างไรก็ตาม พวกเขาทำให้สัตว์อสูรนั้นโกรธ และผลที่ได้รับมาก็คือ พวกเขาถูกกำจัดหมด ด้วยความกราดเกรี้ยว สัตว์อสูรนั้นสั่งให้สัตว์อสูรทั้งหมดในทวีปเทพล่าล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ จักรวรรดิ์หลายแห่งล่มสลายในช่วงเวลาไม่กี่เดือน และปีนั้น เป็นปีเริ่มต้นของยุคมืด!!”

“อย่างนี้นี่เอง”

‘อี้หยาน’เข้าใจทันที ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมก่อนที่ฝูงสัตว์อสูรจะเข้าถล่ม ยอดฝีมือในจักรวรรดิ์หลายแห่งถึงหายตัวไปและไม่มีใครพบอีกเลย

“ในสายตาของท่าน คงเห้นว่าสัตว์อสูรที่ก้าวข้ามชั้นตำนานนั้นเป็นที่สุดของโลกแล้ว แต่ความจริงก็คือ ในขอบเขตขั้นถัดไป สัตว์อสูรนั่นก็เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตพื้นๆ เท่านั้น ถ้าพลังของข้าไปถึงจุดสูงสุดเมื่อไหร่ ข้าก็สามารถฆ่ามันได้เพียงแค่คิดเท่านั้น”

สายตา’เนี่ยหลี่’ทอดยาวออกไปข้างหน้า ท่านั่งขัดสมาธิดูหนักแน่นราวกับขุนเขาไม่สั่นคลอน

ในพริบตานั้น ‘อี้หยาน’รู้สึกถึงคลื่นพลังวิญญาณที่ทรงพลานุภาพพัดผ่านไป

คลื่นพลังที่เก่าแก่ผ่านพ้นวันเวลานานนับปี มาตรว่ายังอ่อนแอ แต่กลับให้ความรู้สึกน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก พลังระดับนี้ผู้ที่สามารถรับรู้ได้มีเพียงบรรพชนผู้ก่อตั้งอี้หยานซึ่งอยู่ในรูปของวิญญาณเท่านั้น หากเป็นคนอื่น คงได้แค่ยืนสั่นกลัวอย่างไม่รู้สาเหตุเท่านั้น

เจ้าเด็กนี่เป็นใครกันแน่ ถึงแม้ระดับของ’เนี่ยหลี่’เป็นเพียงชั้นเงิน ‘อี้หยาน’กลับรู้สึกราวกับตนอยู่ท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนองทีเดียวแม้แต่ชั้นตำนานยังไม่สามารถทำให้’อี้หยาน’สะท้านกลัวได้ถึงเพียงนี้ ‘เนี่ยหลี่’ดึงสายตากลับ เบนสายตามองไปยังอี้หยาน ยิ้มแล้วพูดว่า

“อี้หยาน ท่านต้องการคืนร่างแล้วได้รับรู้ถึงขอบเขตขั้นลี้ลับหรือเปล่า?”

บรรพชนผู้ก่อตั้ง’อี้หยาน’ถึงกับมึนงงไปชั่วขณะ คลื่นพลังวิญญาณน่าหวาดหวั่นนั่นสลายไปในชั่วพริบตาราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ไม่ว่ามองอย่างไร ‘เนี่ยหลี่’ก็เป็นเพียงไอ้หนูอายุสิบสามทั่วไป แต่ทำไมจึงทำให้เขารู้สึกหวั่นเกรงได้ถึงขนาดนี้

พอเห็น’เนี่ยหลี่’ยิ้มอย่างสบายๆ ‘อี้หยาน’กลับรู้สึกว่าความปรารถนาและความหวังในใจเริ่มผลิดอกอย่างไม่สามารถควบคุม ขอบเขตขั้นที่เนี่ยหลี่พูดถึงนั้นจริงๆ แล้วเป็นอย่างไรกันแน่?

“ข้าต้องการ”

แรงปรารถนาปรากฎชัดในสายตาของ’อี้หยาน’ เขาใช้น้ำเสียงเคารพนบนอบเวลาพูดกับ’เนี่ยหลี่’อย่างไม่รู้ตัว

แม้ว่า’อี้หยาน’จะไม่รู้ว่าเหตุใดรูปลักษณ์ภายนอกของ’เนี่ยหลี่’ถึงเป็นเด็กอายุสิบสามทั่วไป แต่เขาค่อนข้างแน่ใจทีเดียวว่า วิญญาณที่หลับอยู่ในร่างนั้นจะต้องเป็นยอดฝีมือระดับสูงมากๆ แน่ มีเพียงเขาที่อยู่ในรูปของวิญญาณแล้วเท่านั้น ที่สามารถรับรู้ได้ในช่วงเวลานั้น

ในพริบตาที่วิญญาณของ’อี้หยาน’ถูกผนึงลงในหุ่นเชิดวิญญาณ วิญญาณของเขาก็ตกอยู่ในความควบคุมของเนี่ยหลี่ แต่เพิ่งจะเมื่อครู่นี้เอง ที่’อี้หยาน’รู้สึกว่าตนยอมแพ้ต่อ’เนี่ยหลี่’โดยสมบูรณ์จริงๆ

ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก ‘เนี่ยหลี่’ก็เข้าสู่ภวังค์ฝึกตน เตรียมการทะลวงไปสู่ความเป็นร่างทรงวิญญาณชั้นทอง

หลังจากฝึกที่ลานในส่วนที่พักของ’เนี่ยหลี่’ไปได้ช่วงหนึ่ง ‘ตู้เจ๋อ’ ‘ลู่เปียว’ และพรรคพวกออกจากจวนเจ้าเมืองกลับไปยังบ้านของตน

ตระกูลตู้

‘ตู้เจ๋อ’และครอบครัว อาศัยอยู่ในหมู่บ้านทรุดโทรมแห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านมีราวสามร้อยหลังคาเรือน และชาวบ้านทุกๆ ครัวเรือน ต่างก็เป็นคนตระกุลตู้ทั้งสิ้น

‘ตู้เจ๋อ’เดินไปตามเส้นทางเล็กๆ ตามรายทางต่างก็มีคนในตระกูลตู้ทักทายตู้เจ๋ออย่างยินดี รอยยิ้มพาดผ่านใบหน้าเมื่อเห็นเขากลับมา

“ตู้เจ๋อ กลับมาแล้วหรือ?”

“ขอรับ ท่านลุง!!”

‘ตู้เจ๋อ’รับคำด้วยรอยยิ้ม แม้ตระกูลตู้จะยากจนแต่ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวกลับแน่นแฟ้นยิ่ง เมื่อพวกเขาเห็น’ตู้เจ๋อ’ พวกเขาก็ยิ้มให้แล้วหล่าวว่า

“ครอบครัวของตู้เมิ่งโชคดีมากที่มีเด็กอย่างตู้เจ๋อ”

“ช่าย เขาเป็นร่างทรงอสูรชั้นเงินแล้วทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเชียวล่ะ ทุกๆ คนในตระกูลตู้ภาคภูมิใจในตัวเขามาก”

“ถ้าลูกข้ามีพรสวรรค์ได้สักครึ่งหนึ่งของตู้เจ๋อล่ะก็ ต่อให้ข้าตาย ข้าก็ยังหัวเราะได้”

พวกลุงๆ ต่างก็พูดคุยโม้ ยกยอเกินจริง ‘ตู้เจ๋อ’ที่ได้ยินระหว่างเดินกลับบ้านถึงกับหน้าแดงนิดหน่อยด้วยความอาย

วันนี้ทุกๆ คนในตระกูลตู้ภาคภูมิใจในตัวเขามาก สำหรับตระกูลเขากลายเป็นตัวตนที่ไม่มีใครแทนที่ได้ไปแล้ว

โถงบรรพชนตระกูลตู้

“ตู้เจ๋อ นี่คือสัญลักษณ์ของตระกูลตู้เรา จี้กิเลนเพลิงกายหยก มีเพียงเจ้าตระกูลเท่านั้นที่สวมจี้นี้ได้ ตอนนี้ ข้าส่งต่อมันให้เจ้า เมื่ออายุเจ้าครบเกณฑ์ ก็จะได้เป็นเจ้าตระกูลตู้ต่อไป”

ชานชราสวมชุดปอน หนวดเคราขาวหลังโก่ง เขาโค้งตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยขณะยัดจี้หยกที่สะท้อนประกายไปที่มือของ’ตู้เจ๋อ’

ชายชราคนนี้คือเจ้าตระกูลตู้คนปัจจุบัน ‘ตู้หร่ง’

“ท่านเจ้าตระกุล ตู้เจ๋อไม่อาจรับของล้ำค่าเช่นนี้ได้”

‘ตู้เจ๋อ’พูดด้วยความตื่นตระหนก เขาสามารถรับรู้ถึงพลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากจี้กิเลนเพลิงกายหยกนี้ได้

“ตระกูลตู้ตกต่ำมาเป็นเวลานานมากแล้ว ในฐานะเจ้าตระกูล ข้ากลับทำให้บรรพชนผิดหวัง ตอนนี้ มีเพียงเจ้า ที่สามารถนำพาตระกูลให้กลับมารุ่งเรืองได้ เจ้าสมควรได้รับมัน”

‘ตู้หร่ง’พูดอย่างจริงจัง เทียบกับลูกหลานของเขาแล้ว ‘ตู้เจ๋อ’มีภาษีดีกว่ามาก ดังนั้นเขาจึงยกจี้กิเลนเพลิงกายหยกให้’ตู้เจ๋อ’สืบทอด

‘ตู้เจ๋อ’ลังเลอยู่พักใหญ่ก่อนจะรับจี้กิเลนเพลิงกายหยกมาจาก’ตู้หร่ง’ เขาแทบไม่อาจกลั้นความรู้สึกที่ท่วมท้นขึ้นมาได้

ภาพในอดีตแว่บเข้ามาในสายตาของ’ตู้เจ๋อ’

ตระกูลของ’ตู้เจ๋อ’นั้นยากจนมาก ทั้งตระกูลมีแปลงเกษตรเพียงไม่กี่สิบแปลง การออกล่าเนื้อในภูเขาทำให้พวกเขาสามารถอยู่พ้นไปวันๆ เท่านั้น ‘ตู้เจ๋อ’มีพี่สาวสองคน เพื่อให้’ตู้เจ๋อ’สามารถเข้าเรียนที่สถาบันเชิ่งหลันได้ พวกนางต้องแต่งให้กับชายพิการจากหมู่บ้านข้าง ๆ

‘ตู้เจ๋อ’เก็บงำความรู้สึกอันใหญ่หลวงนี้ไว้ในใจ มีเพียงคืนที่อยู่คนเดียวเท่านั้น ที่เขาสามารถร้องไห้ออกมาดังๆ ได้ เขารู้สึกผิดต่อพี่สาวทั้งสองมาก

เมื่อได้เข้าเรียนที่สถาบันเชิ่งหลัน แม้ว่า’ตู้เจ๋อ’จะมิได้มีพรสวรรค์อันโดดเด่น แต่เขาก็ใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการฝึกฝนตัวเอง หากเขาขยัน เขาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของครอบครัวและวงศ์ตระกูลได้

ซึ่งจริงๆ แล้วนั่นนับว่าเป็นเป้าหมายที่ห่างไกลมาก จนกระทั่งเขาได้พบ’เนี่ยหลี่’

‘เนี่ยหลี่’เปลี่ยนโชคชะตาของเขาอย่างสิ้นเชิง ‘เนี่ยหลี่’ทำให้เขากลายเป็นร่างทรงอสูรชั้นเงิน!! และยังทำให้ครอบครัวของเขาพ้นจากสถานภาพยากจนข้นแค้นมาได้

‘ตู้เจ๋อ’กำจี้กิเลนเพลิงกายหยกไว้แน่น น่ำตาเริ่มเอ่อคลอหน่วย

“เนี่ยหลี่ จากนี้ไป ชีวิตข้าเป็นของเจ้า!!”

‘ตู้เจ๋อ’สาบานกับตัวเองในใจ ด้วยแววตามุ่งมั่น เพราะเนี่ยหลี่ ตู้เจ๋อจึงสามารถเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเอง และโชคชะตาของตระกุลได้

“ตู้เจ๋อ ตระกูลเฉินของเป่ยเจิ้น หลินเจียของจินเจิ้นและตระกูลยู่ ทั้งหมดนี้ส่งคนมาคุยเรื่องแต่งงาน”

มือของ’ตู้หร่ง’สั่งเทา หลายปีมานี้ มีหญิงสาวที่ยินดีแต่งเข้าตระกูลตู้น้อยมาก แต่ตอนนี้ ตระกูลเหล่านี้กลับพากันต้องการแต่งเข้าตระกูลตู้ นับว่าเป็นเวลารุ่งเรืองของตระกูลจริงๆ

‘ตู้เจ๋อ’เงยหน้าขึ้น ส่ายหัวอย่างหนักแน่นล้วกล่าวว่า

“ท่านเจ้าตระกูล ข้าจะไม่แต่งงานกับสตรีพวกนั้นหรอก เมื่อยามที่ตระกูลตู้ตกต่ำ พวกเขารังเกียจเรา แต่ตอนนี้ ต่างก็พากันมาประจบประแจง ข้าชังพวกมันยิ่ง”

‘ตู้หร่ง’นิ่งคิดครู่หนึ่ง เขาเห็นด้วยกับคำพูดของ’ตู้เจ๋อ’ ตอนนี้ตู้เจ๋อเป็นร่างทรงอสูรชั้นเงินแล้ว เขาจะเอาตระกูลเล็กๆ มาอยู่ในสายตาทำไม

‘ตู้หร่ง’ยิ้มพลางกล่าวว่า

“ดูเหมือนเสี่ยวเจ๋อมีความคิดอ่านเองแล้ว ข้าจะไม่พูดมากก็แล้วกัน”

ในเวลาเดียวกัน ณ ตระกูลลู่

ตระกูลลู่เป็นตระกูลขุนนางขนาดเล็กมาก ‘ลู่หนิง’ เจ้าตระกูลลู่ ผู้เป็นบิดาของลู่เปียวเป็นร่างทรงอสูรชั้นทองระดับสามดาว เขาย่อมไม่สามารถเทียบได้กับเหล่าอัจฉริยะจากตระกูลใหญ่ๆ แต่เขาก็มีอิทธิพลพอสมควรในพื้นที่เล็กๆ ทางตอนเหนือของนครเรืองโรจน์ ภายใต้การดูแลของเขา ธุรกิจด้านสมุนไพรค่อนข้างไปได้สวยทีเดียว

‘ลู่หนิง’เดินเข้าไปในห้องรับแขกด้วยฝีเท้าหนักแน่น

เมื่อ’ลู่หนิง’เข้ามาในห้องรับแขก เขาก็พบลู่เปียวนั่งพาดขาบนโต๊ะปากกำลังเคี้ยวผลไม้สีม่วงเข้ม ดูสบายอารมณ์มาก

เมื่อเห็นภาพนี้ หางตาของ’ลู่หนิง’เริ่มกระตุก ถ้าเป็นเมื่อก่อน หาก’ลู่เปียว’ขวัญกล้าบังอาจทำเสียงเบาๆ ต่อหน้าเขา เขาต้องจับมันตีก้นแน่ๆ จนถึงตอนนี้ ‘ลู่เปียว’เป็นหนึ่งในคนที่น่าผิดหวังที่สุดในเด็กรุ่นเดียวกัน เขาขี้เกียจมากจน’ลู่หนิง’เห็นทีไรต้องรู้สึกคันไม้คันมือหากไม่ได้เพ่นกบาลลูกชายสักที

แต่เจ้าตัวขี้เกียจลู่เปียวไม่รู้ไปทำอะไรมา ในการทดสอบของตระกุลครั้งก่อน กลับกลายเป็นว่าพลังของมันไปถึงระดับชั้นสำริระดับห้าดาว เขี่ยเด็กรุ่นใกล้เคียงกันตกไปอย่างรวดเร็ว

แทบไม่อยากจะเชื่อเลย

แม้แต่ตัว’ลู่หนิง’เอง ตอนที่อายุเท่ากันเขาทำได้เพียงระดับสำริดหนึ่งดาวเท่านั้น ความเร็วในการฝึกพลังของ’ลู่เปียว’สูงจนน่าหวาดกลัว ตอนนี้’ลู่เปียว’อยู่ระดับสำริดห้าดาวแล้ว

ถ้า’ลู่เปียว’ฝึกหนักทุกๆ วัน ยังพอเข้าใจได้ แต่เขาไม่เห็น’ลู่เปียว’นั่งฝึกพลังเลยสักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น ยังใช้เวลาไปกับการพักผ่อนเที่ยวเล่น อย่างเมื่อวาน ก็เพิ่งไปแอบถ้ำมองผู้หญิงอาบน้ำที่ตระกูลเซี่ยวอยู่ถัดไป นี่มันอาชญากรรมชัดๆ

ทีแรก’ลู่หนิง’คิดว่าเรื่องนี้คงกลายเป็นปัญหา ตระกูลเซี่ยวต้องไม่ปล่อยเรื่องนี้ง่ายๆ แน่ สุดท้าย เช้าวันถัดมาตระกูลเซี่ยวค่อยส่งจดหมายมาถึง เนื้อหาคือการหารือทาบทามให้เด็กหญิงของตระกูลเซี่ยวแต่งให้กับ’ลู่เปียว’ ‘ลู่หนิง’เข้าใจได้ว่าตระกูลเซี่ยวหมายตาศักยภาพของ’ลู่เปียว’

จากความเร็วในการฝึกของ’ลู่เปียว’ สักวันมันต้องกลายเป็นร่างทรงอสูรชั้นเหล็กนิลได้แน่

ถึงมันจะเป็นเด็กที่ขี้เกียจที่สุดที่เขาเคยพบ ความเร็วในการฝึกพลังของมันต้องนับว่าน่าตระหนก และดันไปแอบดูสาวข้างบ้านอาบน้ำจนได้สะใภ้มาเสียด้วย

จบตอน…..

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments