I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 106 เอียซิ่ว

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 6167 | 2427 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ในเวลาไม่นาน ระดับพลังของลู่เปียวคงจะแซงหน้าบิดาของตนไปไกล ถึง’ลู่หนิง’จะรู้สึกว่าค่อนข้างเสียหน้านิดหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกภาคภูมิใจ จะอย่างไร ‘ลู่เปียว’ก็เป็นบุตรชายของตน

“ลู่เปียว…”

‘ลู่หนิง’พยายามกัดฟันอดทนในใจ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“เจ้าจะเล่นซนอย่างไรในบ้านข้าไม่ว่า แต่เจ้ากลับไปแอบถ้ำมองตอนเด็กหญิงตระกูลเซี่ยวอาบน้ำ ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ตระกูลลู่ของข้าต้องเสียความน่าเชื่อถือเพราะเจ้า”

ใบหน้าของ’ลู่เปียว’ปรากฎสีแดงระเรื่อขึ้นด้วยความอับอายแล้วพูดว่า

“ท่านพ่อ ข้ารู้ตัวว่าผิด”

“ดีแล้วที่เจ้าสำนึกได้”

‘ลู่หนิง’พยักหน้าแล้วพูดต่อว่า

“ไม่มีสิ่งใดประเสริฐไปกว่าการที่คนเราสามารถยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้”

‘ลู่เปียว’กำหมัดแน่นแล้วพูดอย่างจริงจังว่า

“ครั้งหน้าที่ไปแอบถ้ำมอง ข้าจะไม่ยอมให้โดนจับได้อีก….”

พอได้ยินคำนี้ ‘ลู่หนิง’ก็เกิดอาหารมุมปากประตุกเล็กน้อย ลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ พลางคิดว่า นี่ข้าให้กำเนิดไอ้ตัว…. เขาเริ่มมีความคิดอยากจะหักคอลูกไม่รักดีคนนี้ทิ้งจริงๆ ถึงจะคิดอย่างนั้น แต่’ลู่หนิง’ก็ไม่ได้ทำอะไร ตอนนี้’ลู่เปียว’เป็นดั่งหัวแก้วหัวแหวนของตระกูลลู่ ใครจะกล้าแตะต้องกัน

“เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้ ตระกูลเซี่ยวจึงส่งคนมาคุย”

‘ลู่หนิง’พูดขึ้น

“จริงเหรอ? แล้วเขาว่าอย่างไรบ้าง”

เมื่อ’ลู่เปียว’ได้ยินเรื่องนี้ก็เริ่มออกอาการตื่นเต้น

“ท่านพ่อ พวกเขาได้พูดเรื่องแต่งงานหรือเปล่า?”

พอได้ยินคำนี้ ‘ลู่หนิง’ได้แต่สับสนชั่วขณะ ก่อนจะเริ่มคาดเดาบางอย่างได้

“อ้อ สรุปว่าเจ้าชอบเด็กหญิงตระกูลเซี่ยวนั่นสินะ…..เจ้าต้องการให้ข้าพูดเรื่องแต่งงานกับตระกูลเซี่ยวหรือ? ฮืม… เจ้านับว่าให้ความสะดวกตระกูลเซี่ยวมากไปแล้ว”

ถ้าเป็นหนึ่งปีก่อนหน้านี้ ‘ลู่หนิง’จะไม่พูดแบบนี้ ในตอนนี้ หาก’ลู่เปียว’แต่งกับ’เซี่ยวเซว่’ ก็ไม่ต่างกับคางคกคิดรับประทานเนื้อห่านฟ้า ทำได้เพียงแค่ฝันกลางวัน แต่ตอนนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เพียงแค่คิดว่า’ลู่เปียว’พัฒนาไปมากแค่ไหนก็ทำให้’ลู่หนิง’เป็นปลื้มแล้ว

ได้ยินคำพูดของ’ลู่หนิง’ ‘ลู่เปียว’ได้แต่คอตก แม้ว่าส่วนในชีวิตส่วนใหญ่ของมันไม่ค่อยจริงจัง แต่ก็ยังนับว่าทำตามกฎเกณฑ์ส่วนใหญ่ มันกับ’เซี่ยวเซว่’นับว่าเป็นเพื่อนสมัยเด็ก ทั้งคู่กินเล่นเติบโตขึ้นมาด้วยกัน เมื่อทั้งคู่โตขึ้น ก็เริ่มมีความรู้สึกต่อกัน แต่ผู้ใหญ่ในตระกูลทั้งสองฝ่ายกับเริ่มกีดกันพวกมัน

พอเห็นท่าหงอยของลู่เปียว ‘ลู่หนิง’ต้องลอบสบใจ เขาไม่ได้เป็นฝ่ายพูดเรื่องแต่งงาน แต่ตระกุลเซี่ยวกลับเสนอเรื่งแต่งงานขึ้นมาเอง นับว่าได้หน้าไม่น้อย

ทันใดนั้น ข้ารับใช้คนหนึ่งรับร้อนเข้ามารายงาน

“เรียนนายท่าน คุณหนูตระกูลเซี่ยวขอเข้าพบขอรับ”

ก่อนที่ข้ารับใช้จะรายงานจบ ก็ได้ยินเสียงสดใสของเด็กหญิงดังขึ้นที่เบื้องนอก

“ลู่เปียว ออกมาเดี๋ยวนี้!!”

ผู้ที่พูดคือ’เซี่ยวเซว่’ นางสวมชุดสีแดงเพลิงรับรูป มัดผมไปด้านหลังเป็นทรงหางม้า สองมือเท้าเอว ดูราวกับแม่เสือสาว

ทันทีที่เห็น’เซี่ยวเซว่’ ‘ลู่เปียว’พลันหดหัวกล้าถอยหลัง ตระเตรียมวิ่งหนีในบัดดล

‘เซี่ยวเซว่’กวาดสายตาแหลมคมมองลู่เปียว นางประกาศเสียงดังว่า

“ลู่เปียว หากเจ้ากล้าวิ่งหนีล่ะก็ ไม่ต้องกลับมาพบข้าอีก”

‘ลู่เปียว’ได้แต่ชะงักค้างยืนก้มหน้านิ่ง

ร่างบางของ’เซี่ยวเซว่’พลันปรี่เข้าหา’ลู่เปียว’ ยื่นมือเรียวงามเข้าหา….แล้วดึงหู’ลู่เปียว’เต็มแรง ก่อนจะกล่าวอย่างโกรธกริ้วว่า

“ลู่เปียว เจ้าไปถ้ำมองตอนข้าอาบน้ำเมื่อวานหรือ?”

“ข้าเปล่า”

‘ลู่เปียว’สั่นหัวอย่างรุนแรง

“เปล่า? ยังกล้าปฏิเสธอีก?”

‘เซี่ยวเซว่’จ้องอย่างจับผิด

“ข้าทำก็ได้”

‘ลู่เปียว’ร้องตอบอย่างขมขื่น

“โอ๊ยๆ เบาๆ เบาๆ เซี่ยวเซว่ ข้าผิดไปแล้ว”

“เจ้าไปแอบดูข้ากี่ครั้งแล้ว?”

“หนึ่ง…..แค่หนึ่งครั้ง….ไม่ ๆ ๆ ๆไม่ใช่แค่หนึ่งครั้ง”

“กี่ครั้ง”

“….ขะ….ข้าจำไม่ได้แล้ว”

‘ลู่เปียว’ทำหน้าราวกับจะร้องไห้

“เจ้าเห็นอะไรบ้าง? ตอบมา!!”

‘เซี่ยวเซว่’ยังจ้องลู่เปียวไม่เลิก

“ข้าเห็นแค่…..โอ้…ข้าเห็นหมดเลย…..”

ใบหน้า’ลู่เปียว’กลายเป็นสีม่วงไปแล้ว

“แล้วเจ้าชอบสิ่งที่เห็นหรือเปล่า?”

‘เซี่ยวเซว่’บิดหู’ลู่เปียว’ ยิ่งอารมณ์โกรธของนางเพิ่มขึ้นเท่าใด แรงบิดก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

“อ่า…ใช่เลย ข้าชอบมาก”

ในหัวสมองของ’ลู่เปียว’ปรากฏภาพที่เขาบันทึกเก็บไว้พลางพยักหน้าตอบ

“ยังกล้าตอบอีกเหรอ?”

‘เซี่ยวเซว่’ดึงหู’ลู่เปียว’ขึ้นสูงพลางขยี้เท้าอย่างแง่งอน

‘ลู่เปียว’รีบปั้นสีหน้าส่ายหัวตอบใหม่ว่า

“ไม่ๆ ข้าไม่ชอบ”

“เจ้าว่าข้าไม่ดีเหรอ?!”

‘เซี่ยวเซว่’อารมณ์ขึ้นอีกครั้ง จ้อง’ลู่เปียว’ไม่วางตามือเพิ่มกำลังบิดเข้าไปอีก

‘ลู่เปียว’รู้สึกขมขื่นใจ มันควรจะตอบอย่างไรเล่า?

พอเห็นฉากนี้’ลู่หนิง’ได้แต่หดหัว ‘เซี่ยวเซว่’เหมือนกับมารดาของ’ลู่เปียว’ทีเดียว เขาค่อยๆ เคลื่อนตัวไปด้านข้างช้าก่อนจะแว่บออกไปด้วยความเร็วสูง

กว่า’ลู่เปียว’จะหันหน้าหาบิดาของตน เพื่อขอความช่วยเหลือ ‘ลู่หนิง’ก็จากไปไกลแล้ว

ณ จวนเจ้าเมือง

เจ้านคร’อี้ซ่ง’ และร่างทรงอสูรชั้นเหล็กนิลคนหนึ่งกำลังพูดคุยหารือกัน

“ท่านเจ้านคร เรานำข่าวจากท่านเจ้าอี้ม่อมาแจ้งว่า เพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สัตว์อสูรมีอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ เราต้องแบ่งกำลังคนออกล่าสัตว์อสูรจำนวนมากเพื่อควบคุมประชากรสัตว์อสูรรอบๆ นครเรื่องโรจน์ ไม่เช่นนั้นหากพวกมันเติบใหญ่ จะกลายเป็นภัยคุกคามนครเรืองโรจน์แน่”

ร่างทรงอสูรชั้นเหล็กนิลผู้หนึ่งพูดขึ้น เขาเป็นชายหมายเลข 3 ของนครเรืองโรจน์ นามว่า ‘อี้ซิว’ ระดับพลังของเขาเพียงเป็นรอง’อี้ม่อ’และ’อี้ซ่ง’เท่านั้น

‘อี้ซ่ง’เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพนักหน้าเห็นด้วยแล้วพูดว่า

“ได้ เราจะเร่งแบ่งกำลังร่างทรงอสูรออกล่าสัตว์อสูรเหล่านั้น โชคดีที่เรามียาทิพย์จากสมาคมปรุงยา นั่นช่วยเพิ่มกำลังต่อสู้ได้ แล้วยังมียาเม็ดเก้าแปลง นั่นช่วยลดจำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายได้ไม่น้อยทีเดียว”

เงาร่างหนึ่งปรากฎขึ้นในหัวของ’อี้ซ่ง’ ในจุดนี้เขาได้แต่ยอมรับว่านี่นับเป็นความชอบของ’เนี่ยหลี่’ แต่เมื่อนึกถึงว่าเนี่ยหลี่พยายามจะเคลมลูกสาวของตน ‘อี้ซ่ง’ก็เริ่มคิดหาวิธีแยกส่วนมัน

“ยังไงก็ตาม พวกเรายังต้องระมัดระวังคนจากสมาคมมืดด้วย”

‘อี้ซ่ง’กล่าวเพิ่ม หากพวกเขาส่งร่างทรงอสูรออกจากเมืองมากไป ใครจะรับรองได้ว่าพวกสมาคมมืดจะไม่เข้ามาโจมตียามอ่อนแอ

“นอกจากนี้ ท่านเจ้าอี้ม่อ สั่งให้ข้านำของชิ้นหนึ่งกลับมาด้วย ท่านลองดู”

‘อี้ซิว’พูดพลางดึงเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ

“ท่านเจ้าอี้ม่อพบหนังสือเล่มนี้ในถ้ำที่เก่าแก่มากๆ แห่งหนึ่ง ท่านไม่รู้ว่ามันทำจากอะไรหรือแม้แต่มันมีอะไรเขียนไว้บ้าง”

พอ’อี้ซิว’เปิดหนังสือขึ้น ภาพร่างบางอย่างก็ปรากฎให้เห็น กำกับไว้ด้วยลายเส้นคล้ายกับคาถาอาคม นอกจากนี้ยังมีภาพของวิญญาณอสูรจำนวนมาก

จากนั้นคลื่นพลังประหลาดก็แผ่ออกมาจากหนังสือ

คลื่นพลังนี้นับว่าบริสุทธิ์มาก แม้แต่อี้ซ่งยังไม่เคยพบความบริสุทธิ์ระดับนี้มาก่อน

“หนังสือนี่ถูกพบที่ไหน?”

‘อี้ซ่ง’ต้องลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ เขารับหนังสือมาดู พยายามตรวจสอบอย่างรอบคอบที่สุด แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจทั้งคำและภาพร่างที่เขียนอยู่ในหนึ่งสือ

“ในตอนที่ท่านเจ้าอี้ม่อสำรวจถ้ำของสัตว์อสูร ก็ค้นมันได้จากศพของยอดฝีมือท่านหนึ่ง จากการตรวจสอบคร่าวๆ ยามที่ยอดฝีมือท่านนี้ยังมีชีวิตอยู่ ต้องมีระดับพลังอย่างน้อยก็ชั้นตำนานขั้นสุดท้าย”

‘อี้ซิว’พูด

‘อี้ม่อ’มักจะเดินทางอยู่ภายนอกนครเรืองโรจน์เพื่อสำรวจและเก็บกู้สมบัติที่ใช้งานได้จากกรุขุมทรัพย์ต่างๆ และเพื่อสอดแนมหาข่าวสารที่อาจเป็นภัยคุกคามนครเรืองโรจน์

“ถ้ำนั้นอันตรายมาก แม้แต่ท่านเจ้าอี้ม่อยังไม่กล้าอยู่นาน ท่านถอนกำลังทันที่ได้เก็บหนังสือเล่มนี้ได้”

แม้ว่าจะทราบว่าหนังสือเล่มนี้เป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ แต่กลับไม่รู้วิธีใช้ แน่นอนว่าต้องสร้างความลำบากยากใจให้ผู้คนนัก

‘อี้ซิว’นึกบางอย่างขึ้นได้จึงพูดต่อด้วยความตื่นเต้น

“ท่านเจ้าอี้ซ่ง ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่า มีเด็กอัจฉริยะผู้หนึ่งปรากฎขึ้นในนครเรืองโรจน์ สามารถอ่านและเข้าใจคัมภีร์โบราณได้ รวมถึงคัมภีร์เพลิงเทพอัสนีด้วย เราน่าจะลองให้เด็กผู้นั้นช่วยดูสักหน่อย”

พอได้ยินคำพูดของ’อี้ซิว’ ใบหน้า’อี้ซ่ง’พลันหมองลงทันตา

“อย่าพูดถึงเด็กนั่นอีก!”

‘อี้ซิว’ได้ยินก็อดประหลาดใจไม่ได้ถามว่า

“เพราะเหตุใดหรือ?”

‘อี้ซ่ง’พลันอารมณ์โกรธพลุ่งขึ้น เพื่อปกป้องเด็กที่มีพรสวรรค์ มันได้แต่จัดให้’เนี่ยหลี่’เข้ามาอยู่ในจวนเจ้าเมือง ใครจะคิดว่ากลับเป็นการชักศึกเข้าบ้าน ไอ้หนูนั่นบังอาจล่อลวง’อี้ซีหวิน’ เพราะสาเหตุบางประการ มันได้แต่อดทนไว้ ดังนั้นมันไม่เอาเรื่อง’เนี่ยหลี่’ แต่กลับต้องไปขอร้องไอ้หนูนั่นหรือ?

มันจะไม่ยอมเสียหน้าเช่นนั้นเด็ดขาด

พอเห็นสีหน้าของ’อี้ซ่ง’ ‘อี้ซิว’ก็พอจะเดาบางอย่างออก เจ้าหนูนั่นคงสร้างความขุ่นเคืองใจให้’อี้ซ่ง’ แต่เรื่องนี้ถือว่ามีความสำคัญมาก ‘อี้ซิว’โค้งตัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า

“ท่าเจ้านคร ของสิ่งนี้ท่านเจ้าอี้ม่อเสี่ยงชีวิตเพื่อเก็บมันมา ย่อมไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป หากเราสามารถดึงเอาความลับนั้นออกมาได้ ย่อมเกิดประโยชน์ต่อนครเรืองโรจน์มหาศาล ข้าขอให้ท่านปล่อยวางความอารมณ์ส่วนตัวด้วย”

มาตรว่า’อี้ซ่ง’จะโกรธเกรี้ยวเพียงใด แต่มันช่วยไม่ได้ จะอย่างไรมันก็ไม่ใช่คนที่จะเพิกเฉยต่อประโยชน์ส่วนรวมได้ ดังนั้นโบกมือคราหนึ่งกล่าวว่า

“เจ้าเป็นคนไปเรียกมันมาแล้วกัน แต่!!… ข้าจะไม่ออกหน้าในเรื่องนี้”

“ขอรับ ท่านเจ้านคร”

‘อี้ซิว’ตอบพลางพยักหน้า ก่อนจะคำนับล่าถอยออกมา

ณ ที่พักของ’เนี่ยหลี่’

เมื่อ’อี้ซิว’ก้าวเข้ามา มันก็กวาดสายตาสำรวจไปทั่ว สภาพแวดล้อมยังไม่เลว ดูเหมือน’อี้ซ่ง’จะไม่ได้กลั่นแกล้งอะไร’เนี่ยหลี่’

พอก้มหน้าลงก็พบกับเด็กหญิงอายุ 6-7 ขวบนางหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิฝึกพลังอยู่ คลื่นพลังวิญญาณแผ่ออกมารอบตัว

เห็นสิ่งนี้แล้ว ‘อี้ซิว’ได้แต่ลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ สายตาของมันเห็นว่าคลื่นพลังที่แผ่ออกมานั้นอย่างน้อยเป็นชั้นสำริด 3 ดาวแล้ว

แต่นี่มันเด็กอายุ 6-7 ขวบเองนะ!!

อัจริยะอะไรขนาดนี้ ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้เข้า ได้เป็นข่าวใหญ่ช็อควงการไปทั่วเมืองแน่

‘อี้ซิว’สูดลมหายใจหนาวเหน็บ เป็นเรื่องดีถ้าเกิดจะมีอัจฉริยะเกิดในนครเรืองโรจน์ แต่หากสมาคมมืดทราบข่าวล่ะก็ พวกมันจะต้องส่งคนมาลอบสังหารนางแน่

พอ’อี้ซิว’เตรียมจะก้าวเท้า เด็กหนุ่มวัยรุ่นร่างสูงก็เดินออกมาจากด้านใน เด็กหนุ่มผู้นี้คือ’เนี่ยหลี่’

‘เนี่ยหลี่’เงยหน้าขึ้นมอง’อี้ซิว’ แม้ว่ามันจะรู้สึกได้ว่า’อี้ซิว’เป็นยอดฝีมือ แต่กลับไม่มีอาการประหม่าสักนิด ‘เนี่ยหลี่’เพียงแค่สองแล้วพูดว่า

“ไม่ทราบว่ามีเรื่องใด ทำให้บุคคลหมายเลข 3 ซึ่งเป็นรองเพียงท่านเจาอี้ม่อและอี้ซ่ง ผู้อาวุโสอี้ซิวมาเยี่ยมเยียนข้าได้หรือ?”

ได้ยินคำของ’เนี่ยหลี่’ ‘อี้ซิว’ถึงกับสับสนไปชั่วขณะ มันไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีใครจดจำมันได้ด้วยการมองเพียงปราดเดียว เพราะความจริงแล้วมันมักจะเดินทางร่วมกับท่านเจ้า’อี้ม่อ’เป็นประจำ ไม่ค่อยได้อยู่ภายในเมืองเท่าใด เด็กอายุน้อยเช่น’เนี่ยหลี่’ สมควรไม่รู้จัก

หลังจากไล่ความตื่นตระหนกออกไปจากใบหน้า ‘อี้ซิว’พลันยิ้มบางและพูดว่า

“ถูกแล้ว เป็นข้าเอง”

 

จบตอน…..

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments