I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 107 ข้าไม่ทำฟรีๆหรอกนะ

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 6179 | 2427 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

สายตาของ’อี้ซิว’พุ่งไปยัง’เนี่ยหลี่’ สอดส่องสำรวจไปทั่ว เด็กหนุ่มตรงหน้าน่ะหรือ ที่มีข่าวลือว่าทรงปัญญาและถูกเรียกว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์? นอกจากความเป็นผู้ใหญ่นิดหน่อยแล้ว มันยังไม่เห็นว่าเด็กนี่จะพิเศษอันใด

เวลานั้นเอง ก็มีนกเหล็กตัวหนึ่งกระพือปีกร่อนลงเกาะไหล่’เนี่ยหลี่’

แม้ว่านกตัวนี้จะมีร่างกายทำจากเหล็ก แต่แววตากลับใสกระจ่างราวกับสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่ง ทั้งยังเต็มไปด้วยสติปัญญา สายตานั้นจับจ้องมายัง’อี้ซิว’

“นั่นมันหุ่นเชิดวิญญาณนี่!!”

‘อี้ซิว’ลอบหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ จากการติดตามท่านเจ้า’อี้ม่อ’มาหลายปี ทำให้มีความรู้รอบตัวมากมาย แม้ว่าจะเคยได้ยินเรื่องหุ่นเชิดวิญญาณ แต่ยังไม่เคยพบกับตัวมาก่อน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องวิธีการสร้างเลย

มีเพียงผู้สร้างหุ่นเชิดวิญญาณเท่านั้นที่เป็นนายมันได้

เมื่อ’เนี่ยหลี่’มีหุ่นเชิดวิญญาณ ก็ต้องหมายความว่ามันเป็นผู้สร้างหุ่นตัวนี้เอง แต่วิธีการสร้างหุ่นเชิดนี้หายสาบสูญไปนานมากแล้ว ‘เนี่ยหลี่’สร้างมันได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น หุ่นเชิดวิญญาของ’เนี่ยหลี่’กลับแตกต่างจากหุ่นเชิดวิญญาณที่ระบุไว้ในตำนาน มันกลับไม่มีแววตาปกคลุมด้วยม่านหมอก แววตาใสกระจ่างที่ปรากฎนี้บ่งบอกชัดว่าวิญญาณภายในนั้นต้องทรงภูมิความรู้มากแน่

หากเป็นวัยรุ่นทั่วไปล่ะก็ คงจะขวัญหนีดีฝ่อแน่ หากทราบว่าบุคคลหมายเลข 3 ของตระกูลวายุเหมันต์มาเยือน แต่’เนี่ยหลี่’กลับเพียงแค่มองมันด้วยสายตาเยือกเย็น นั่นทำให้มันตกตะลึง

‘อี้ซิว’เริ่มสงสัยที่มาของเด็กหนุ่มตรงหน้ามันแล้ว

“ข้าได้ยินว่ามีเด็กที่ทรงภูมิปัญญาในนครเรืองโรจน์ ข้าจึงมาดูให้เห็นกับตาเสียหน่อย”

‘อี้ซิว’พูดพลางยิ้มบาง มันไม่โกรธเคืองท่าทางของ’เนี่ยหลี่’เลย

“ในเมื่อผู้อาวุโสอี้ซิวมาด้วยตัวเอง คงไม่ใช่เหตุผลพื้นๆ แบบนั้นแน่”

‘เนี่ยหลี่’พูดง่ายๆ เด็กนี่อายุ 13-14 ปีจริงหรือนี่ เหตุใดจึงฉลาดราวกับสัตว์ประหลาดเช่นนี้

‘อี้ซิว’จัดท่าทางของตน มันไม่สามารถแสร้งปฏิบัติกับ’เนี่ยหลี่’เหมือนเด็กทั่วไปได้อีก จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า

“ข้าขอถามอะไรสักหน่อย”

เดิมที’เนี่ยหลี่’เข้าใจว่า’อี้ซ่ง’ ส่ง’อี้ซิว’มาเพื่อถ่ายทอดคำพูด เพราะเห็นชัดอยู่ว่า’อี้ซ่ง’ไม่อยากพบหน้ามัน แม้ว่า’เนี่ยหลี่’ยังระมัดระวัง’อี้ซิว’อยู่ แต่เมื่อเป็นคำขอร้องจาก’อี้ซิว’เอง ‘เนี่ยหลี่’ย่อมช่วยเหลือ จะอย่างไร ‘อี้ซิว’ก็เป็นถึงบุคคลสำคัญลำดับที่ 3 ของตระกูลวายุเหมันต์ ลุงของ’อี้ซีหวิน’

“ผู้อาวุโสอี้ซิว โปรดบ่งบอก ข้าจะตอบทุกสิ่งที่ข้าทราบ ท่านเป็นลุงของซีหวิน ก็เหมือนกับเป็นลุงของข้าด้วย”

‘เนี่ยหลี่’พูดพลางทุบอกตัวเองเบาๆ

พอ’อี้ซิว’ได้ฟังที่’เนี่ยหลี่’พูด ก็อดมุมปากขยับไม่ได้ มันเข้าใจได้ในทันทีว่าเหตุใด’อี้ซ่ง’ถึงได้ขุ่นเคืองเด็กชายนี่ ‘เนี่ยหลี่’เป็นเพียงเด็กชาย ยังไม่ทันเติบใหญ่ก็มุ่งหวังได้ซีหวินเป็นภรรยาแล้ว?

“อะแฮ่มๆ”

‘อี้ซิว’กระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะหยิบหนังสืออกมาแล้วพูดว่า

“เนี่ยหลี่ ขณะที่ท่านเจ้าอี้ม่อและข้าออกเดินทาง พวกเราก็พบสิ่งนี้ เจ้าช่วยดูทีว่ามันคืออะไร?”

ทันทีที่’อี้ซิว’หยิบหนังสือออกมา ‘เนี่ยหลี่’ก็รู้สึกถึงพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์ สิ่งนี้แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่สิ่งของธรรมดาทั่วไป

“ข้าขอดูหน่อย”

‘เนี่ยหลี่’ขวมดคิ้วเล็กๆ มันรับหนังสือจาก’อี้ซิว’อย่างระมัดระวังแล้วเริ่มตรวจสอบ

ในหนังสือทุกๆ หน้าเขียนไว้ด้วยถ้อยคำแปลดประหลาด รูปวาดและรูปแบบลวดลายอาคม แล้วยังเป็นการเขียที่ปราณีตบรรจงมากเสียด้วย หุ่นเชิดวิญญาณบนไหล่’เนี่ยหลี่’จ้องไปที่หนังสืออย่างไม่วางตา

“อะไรเนี่ย? ดูเหมือนภาษายุคจักรวรรดิ์ศักดิ์สิทธิ์เลย”

หุ่นเชิดวิญญาณบนไหล่เนี่ยหลี่พูดภาษามนุษย์ นั่นถึงกับทำให้’อี้ซิว’แตกตื่น

หุ่นเชิดวิญญาณนี้พูดได้ด้วย? ‘อี้ซิว’ต้องไม่เชื่อแน่ว่าหุ่นเชิดวิญญาณนี้จะผนึกวิญญาณของหนึ่งในห้าผู้ก่อตั้งนครเรืองโรจน์ บรรพชนผู้ก่อตั้ง’อี้หยาน’

“ยังจะอวดฉลาดอีก นี่ไม่ใช่ภาษายุคจักรวรรดิ์ศักดิ์สิทธิ์ ถึงมันจะเป็นภาษาที่มีรากฐานเป็นภาษายุคจักรวรรดิ์ศักดิ์สิทธิ์ก็เถอะ แต่นี่เป็นภาษายุคจักรวรรดิ์ภุมพฤกษ์ปรากฎอยู่ในช่วงหลังการล่มสลายของจักรวรรดิ์ศักดิ์สิทธิ์”

‘เนี่ยหลี่’แก้ให้

“นั่น…อย่างน้อยข้าก็เดาถูกสักแปดเก้าส่วน….”

‘อี้หยาน’ประท้วงเสียงละห้อย

“อาศัยอะไรบอกว่าท่านเดาได้แปดเก้าส่วน? ท่านรู้หรือเปล่าว่านี่เป็นหนังสืออะไร?”

‘เนี่ยหลี่’กลอกตาอย่างระอา

“น่าจะเป็นพวกวิชาควบคุมวิญญาณอสูร ลายอาคมนี่สมควรใช้สำหรับควบคุมวิญญาณอสูรแล้ว”

‘อี้หยาน’พูด แอบภูมิใจในภูมิความรู้ของตน

‘เนี่ยหลี่’กลับเย้ยหยันอี้หยานว่า

“ข้าว่าท่านเดาได้แค่สองถึงสามส่วนเท่านั้น ไม่รู้อะไรแล้วยังมีหน้ามาภูมิใจ ที่พูดมาไม่ได้ต่างกับไม่รู้อะไรเลย”

นั่นนับว่าเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ สมัยเมื่อยังมีชีวิต ‘อี้หยาน’โด่งดังในฐานะสาราณนุกรมเดินได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเนี่ยหลี่ มันกลับไม่ต่างกับคนตัวเปล่า ได้แต่ก้มหน้าหุบปากเท่านั้น

พอได้ยินการโต้ตอบกันของ’เนี่ยหลี่’กับ’อี้หยาน’ ‘อี้ซิว’ต้องหลั่งเหงื่อโทรมกาย หุ่นเชิดวิญญาณที่สามารถดูออกได้สองสามส่วนนับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ตอนที่มันกับอี้ม่อดูหน้าสือเล่มนี้ ในหัวกลับขาวโพลนว่าเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังสือเล่มนี้มีความสามารถทำอะไรได้

ยิ่งเมื่อหุ่นเชิดวิญญาณจะนับว่าย่ำแย่เมื่อเทียบกับ’เนี่ยหลี่’ มิใช่เป็นการบอกว่ามันและ’อี้ม่อ’เทียบไม่ได้แม้แต่กับหุ่นเชิดวิญญาณที่ย่ำแย่หรอกหรือ? ‘อี้ซิว’ถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว

‘เนี่ยหลี่’เห็น’อี้ซิว’ทำหน้าเหมือนอับอายจนอยากจะขุดหลุมฝังตัวเองก็พูดขึ้นว่า

“ผู้อาวุโสอี้ซิว ข้าไม่ได้หมายความถึงท่าน”

ได้ยิน’เนี่ยหลี่’พูดแบบนั้น ‘อี้ซิว’ยิ่งอยากเอาหัวชนกำแพงตายจริงๆ

“ข้าไม่รู้ว่าผู้อาวุโสอี้ซิวไปเอาหนังสือเล่มนี้มาจากไหน แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ท่านต้องดูแลมันให้ดีที่สุด หนังสือเล่มนี้เป็นบันทึกค่ายกลนามว่า ค่ายกลหมื่นสัตว์อสูรกาย ใช้สำหรับควบคุมสัตว์อสูรชั้นเหล็กนิลหรือสูงกว่า จำนวนหนึ่งพันจนถึงหนึ่งหมื่นตัว สร้างเป็นสุดยอดค่ายกลขึ้นมา แม้แต่ยอดฝีมือระดับร่างทรงอสูรชั้นตำนานหากถูกกักอยู่ในค่ายกลนี้ ได้แต่รอรับการเชือดเฉือนถ่ายเดียว”

‘เนี่ยหลี่’พูดหลังจากที่ปิดหนังสือแล้วส่งคืน’อี้ซิว’

เมื่อ’อี้ซิว’และ’อี้หยาน’ได้ยิน ทั้งคู่ได้แต่ลอบสยิวกายอย่างหนาวเหน็บ

แม้แต่ยอดฝีมือระดับร่างทรงอสูรชั้นตำนานหากถูกกักอยู่ในค่ายกลนี้ ได้แต่รอรับการเชือดเฉือนถ่ายเดียวอย่างนั้นหรือ? ค่ายกลนี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว

‘อี้หยาน’ต้องลอบทอดถอนใจ จากที่เห็นรูปแบบของลวดลายอาคมแล้ว มั่นใจว่า’เนี่ยหลี่’กล่าวไม่ผิด ยามนี้สายตาที่มันมอง’เนี่ยหลี่’นับว่าดีกว่าเดิม เด็กน้อยนี่จดจำได้กระทั่งภาษาสมัยจักรวรรดิ์ภุมพฤกษ์ ยิ่งกว่านั้นยังสามารถมองออกได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีไว้ทำอะไร เพียงเรื่องนี้ก็นับว่าภูมิความรู้ของ’เนี่ยหลี่’แซงหน้ามันไปไกลแล้ว

ช่างน่าขันนักที่มันมัวแต่ประโคมโหมอวดโอ่ภูมิปัญญาของตน เมื่อคิดย้อนดูแล้ว กลับเป็นเรื่องน่าอับอายประการหนึ่ง

‘อี้ซิว’รับหนังสือจากมือ’เนี่ยหลี่’ ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า

“หากค่ายกลหมื่นสัตว์อสูรกายนี้ วางไว้ใกล้เคียงจวนเจ้าเมืองเล่า?”

“ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถบุกฝ่าเข้าไปในจวนเจ้าเมืองได้เด็ดขาด ต่อให้ยอดฝีมือระดับร่างทรงอสูรชั้นตำนานสักโหลนึงก็ยังนับว่าเป็นไปไม่ได้”

‘เนี่ย’พูดโดยไม่ขบคิด ค่ายกลหมื่นสัตว์อสูรกายนี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ต่อให้ผู้เดินค่ายกลใช้วิธีการพื้นฐานที่สุดของค่ายกล ก็ยังสามารถต้านทานยอดฝีมือระดับร่างทรงอสูรชั้นตำนานได้หลายคน แต่หาก’เนี่ยหลี่’ปรับปรุงพัฒนาความลึกล้ำของค่ายกลเข้าไปอีกขั้นล่ะก็ ค่ายกลใหม่จะทรงอำนาจมหาศาลขนาดจินตนาการไม่ออกทีเดียว

ได้ฟังคำ’เนี่ยหลี่’ ‘อี้ซิว’ถึงกับสับสนชั่วขณะหลุดปากถามว่า

“จริงหรือ?”

‘เนี่ยหลี่’พยักหน้าแล้วตอบกลับว่า

“สิ่งที่ข้าพูดเป็นจริงทุกประการ”

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าสามารถจัดตั้งค่ายกลหมื่นสัตว์อสูรกายนี้ได้หรือไม่?”

‘อี้ซิว’ถาม ข้างใต้จวนเจ้าเมืองมีพื้นที่ใต้ดินขนาดใหญ่ขนาดที่สามารถจุคนได้ทั้งเมือง หากสามารถตั้งค่ายกลหมื่นสัตว์อสูรกายนี้รอบจวนเจ้าเมืองได้ ต่อให้นครเรืองโรจน์เผชิญวิกฤต ยังสามารถรักษาชีวิตผู้คนไว้ได้

“จริงอยู่ ข้าสามารถตั้งค่ายกลได้ แต่การจัดตั้งค่ายกลหมื่นสัตว์อสูรกายจำเป็นต้องใช้เวลาในการจัดตั้งมหาศาล ทั้งวัสดุที่ใช้ก็หายาก ข้าจำเป็นต้องใช้วิญญาณอสูรชั้นเหล็กนิลกว่าหมื่นตัวทีเดียว”

‘เนี่ยหลี่’ส่ายหัวแล้วพูดต่อว่า

“แล้วข้าก็ยังต้องฝึกพลังวิญญาณอยู่”

“เรื่องวิญญาณอสูรชั้นเหล็กนิลหมื่นตัวไม่เป็นปัญหา ต้องใช้เวลาในการตั้งค่ายกลเท่าใด?”

‘อี้ซิว’ถาม ด้วยค่ายกลความยิ่งใหญ่ของค่ายกล สมควรใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสิบยี่สิบปี ต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ยังนับว่าคุ้มค่าที่จะเตรียมจัดตั้งเอาไว้

ตราบใดที่สามารถตั้งค่ายกลได้ ไม่ว่าจะมีใค่าใช้จ่ายเท่าใด ก็นับว่าคู่ควร นี่เป็นดั่งเครื่องรางช่วยชีวิตแท้ๆ

‘เนี่ยหลี่’ครุ่นคิดชั่วขณะ ก่อนจะตอบว่า

“ข้าต้องการเวลาสองเดือนเต็ม”

“วะ….ว่ากระไร? สองเดือน?”

‘อี้ซิว’โพล่งออกมา ลืมการวางตัวโดยสิ้นเชิง เข้าใจว่าตัวเองหูฝาดได้ยินผิดไป

‘เนี่ยหลี่’เงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วถามว่า

“มีอะไรหรือ?”

ค่ายกลที่ทรงอำนาจขนาดนี้ ต่อให้’เนี่ยหลี่’ใช้เวลาตั้งค่ายกลสิบปี ‘อี้ซิว’ยังไม่คิดว่ายาวนานเกินไป แต่มันกลับบอกว่าใช้เวลาเพียงสองเดือนเท่านั้น? สองเดือนก็ได้เครื่องมือช่วยชีวิตสำหรับนครเรืองโรจน์ทั้งเมืองแล้ว? เพียงแค่คิด’อี้ซิว’ก็ตื่นเต้นมากแล้ว

‘อี้ซิว’ประสานมือในท่าคารวะกล่าวว่า

“ในฐานะตัวแทนของจวนเจ้าเมือง ข้า อี้ซิว ขอร้องให้เจ้าช่วยจัดตั้งค่ายหมื่นสัตว์อสูรกายด้วย”

มาตรว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันตอนนี้เป็นเพียงเด็กชายอายุ 13-14 ปี แต่เวลานี้ มันไม่อาจตอบต่อ’เนี่ยหลี่’เช่นเด็กชายทั่วไปได้

‘เนี่ยหลี่’ยักไหล่พูดว่า

“ข้าไม่ว่าง”

“ไม่ว่าง?”

‘อี้ซิว’มึนงงชั่วขณะก่อนจะพูดว่า

“เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความปลอดภัยของนครเรืองโรจน์ ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของเมือง เหตุใด….”

ก่อนที่’อี้ซิว’จะพูดจบ ‘เนี่ยหลี่’ก็กล่าวแทรกว่า

“จริงของท่าน ข้าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของนครเรืองโรจน์ แต่ข้าไม่มีหน้าที่จะต้องช่วยเหลือจวนเจ้าเมืองในเรืองนี้ จริงหรือไม่? ก็ไม่ใช่ว่าการช่วยจัดตั้งค่ายหมื่นสัตว์อสูรกายจะเป็นไปไม่ได้ แต่ผู้อาวุโสอี้ซิว ท่านพูดแทนคนในจวนเจ้าเมืองทั้งหมดไม่ได้หรอกจริงมั้ย? หากต้องการให้ข้าช่วยจัดตั้งค่ายหมื่นสัตว์อสูรกาย อย่างน้อยท่านเจ้าเมืองก็สมควรจะมาพูดกับข้าด้วยตัวเอง”

มิใช่ว่าการช่วยจัดตั้งค่ายหมื่นสัตว์อสูรกายจะเป็นไปไม่ได้ มาตรว่าความเร็วในการฝึกพลังวิญญาณของ’เนี่ยหลี่’จะนับว่าน่าตื่นตระหนก แต่การจะไปถึงขั้นทองหรือขั้นเหล็กนิล อย่างน้อยยังต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งปีหรือนานกว่านั้น การใช้เวลาสองเดือนสร้างเครื่องมือช่วยชีวิตให้กับนครเรืองโรจน์ยังนับว่าไม่เลวอยู่

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้’อี้ซ่ง’ควรจะมาขอร้องด้วยตัวเอง อย่าว่าแต่มันเพิ่งถูก’อี้ซ่ง’ทำร้ายจนถึงขั้นกระอักเลือด ให้ไปช่วยจัดตั้งค่ายหมื่นสัตว์อสูรกายงั้นหรือ ฝันไปเถอะ!!

พอฟังคำพูดของ’เนี่ยหลี่’ ‘อี้ซิว’ถึงกับสับสนไปชั่วขณะ แต่มันเข้าใจความหมายของเด็กชาย ดังนั้นกล่าวว่า

“เนี่ยหลี่ เมื่อเจ้าช่วยพวกเราจัดตั้งค่ายหมื่นสัตว์อสูรกาย นับว่าเจ้ามีสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ให้กับผู้คนทั้งนคร เราย่อมต้องตอบแทนเจ้าด้วยสิ่งของต่างๆ ที่จำเป็นต่อการฝึกฝน….”

“ช้าก่อน”

‘เนี่ยหลี่’ยกมือขึ้นหยุด’อี้ซิว’ก่อนจะถามว่า

“ในความหมายของผู้อาวุโสอี้ซิว สิ่งของต่างๆ ที่จำเป็นต่อการฝึกฝน ที่จวนเจ้าเมืองสามารถมอบให้ข้าได้นั้นหมายถึงสิ่งใด?”

จบตอน……

ที่มา :  

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments