I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 111 นี่คือสิ่งที่เจ้าได้กล่าวไว้

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 6179 | 2427 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

‘เนี้ยหลี่’เริ่มให้ภาพร่างแบบแปลนอาณาเขตหมื่นอสูรมาออกมา หลังจากที่’เนี้ยหลี่’ได้รับมันมาและศึกษาอย่างละเอียด ‘เอียซิว’เตรียมจัดหาวัสดุหลากหลายชนิดตามที่ต้องการใช้ ตอนนี้ตำหนักเจ้าเมืองกำลังวุ่นวายมาก บางสถานที่ได้มีลื้อถอน และก่ออิฐตามแบบแปลนในจารึกนั้น

นอกเหนือจาก ‘เอียเซิ่ง’ ‘เอียซิว’ และคนกลุ่มเล็กๆจำนวนหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆไม่มีใครล่วงรู้ว่าว่าตำหนักเจ้าเมืองตอนนี้กำลังทำสิ่งใดอยู่

ท้องฟ้าเริ่มมืดลง พระจันทร์เริ่มส่องแสง

‘เนี้ยหลี่’ กำลังเดินเล่นอยู่ในสวน ก็แลออกไปไกลๆเห็นหญิงสาวแต่งชุดสีขาว ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง นางช่างเหมือนดั่งนางฟ้าในคืนเดือนหงายเลยจริงเชียว นางยืนอยู่ท่ามกลางม่านหมอกสีขาว มิสามารถแลเห็นได้ชัดว่าเป็นมนุษย์หรืออสูร ดวงจิตอสูรสีขาวที่ห่อหุ้มนี้ช่างสง่างามยิ่งนักประกอบกับมงกุฎที่สวมใส่แลดูดั่งคล้ายราชินีนั่นเอง

นี่คือ ร่างทรงอสูร ‘เอียจืออวิ้น’ ราชินีหิมะเหมันต์ !

ดวงจิตอสูรที่กลืนกินดวงจิตอสูรดวงอื่นมานับไม่ถ้วน จนมีอัตราพัฒนาการระดับพระเจ้า นั่นก็คือ ราชินีหิมะเหมันต์ที่มีความแข็งแกร่งจนน่ากลัวมาก ทั่วทั้งลานล้วนปกคลุมไปด้วยอากาศอันหนาวเหน็บเลยทีเดียว

แม้ว่าอากาศอันเหน็บหนาวนี้แลเหมือนช่างแผ่วเบา แต่ถ้า’เอียจืออวิ้น’ โจมตีอากาศอันเหน็บหนาวนี้จะแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปเป็นใบมีดน้ำแข็งต่อกรศัตรู

เมื่อแลเห็นฉากนี้ ‘เนี้ยหลี่’ยิ้มเล็กน้อย การผสานระหว่าง’เอียจืออวิ้น’และราชินีหิมะเหมันต์ กำลังดีขึ้นๆ เรื่อยๆ จากกระแสลมอันเย็นเยือกที่แผ่ออกมา

‘เนี้ยหลี่’สามารถรู้สึกได้เลยว่า ‘เอียจืออวิ้น’นี้ มีความสามาถด้านการต่อสู้เป็นเลิศไม่น้อยกว่าสองอย่าง ซึ่งความสามารถทั้งสองอย่างนั้นถูกนางบ่มเพาะ จนถ้าตอนนี้เจอกับร่างทรงอสูระดับ โกลด์ ขั้น สามดาว ก็มิสามารถต่อกรกับนางได้

เมื่อ’เนี้ยหลี่’ก้าวเดินเข้าไปหา’เอียจืออวิ้น’ ก็รู้สึกถึงแรงพลังวิญญาณที่เปลี่ยนไปจากเดิมของนาง

ณ มุมของตึกหลังเล็ก ภาพของชายผู้หนึ่งยืนนิ่งแสงจันทร์สาดส่องกระทบฉายให้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้หนึ่งนั่นคือบิดาของ’เอียจืออวิ้น’ นั่นคือเอียเซิ่งนั่นเอง

‘เอียเซิ่ง’ ในขณะนี้นั้นมิสามารถที่จะสงบอารมณ์อันพลุ่งพล่านของเขาให้เย็นลงได้ มาซักระยะเวลาหนึ่งแล้ว

ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่า’เอียจืออวิ้น’ บ่มเพาะพลังได้สูงขึ้นในช่วงเวลาไม่นาน นอกจากนี้เขามิรู้ว่า นางได้รับราชินีหิมะเหมันต์มาจากไหน เขาไม่เคยคาดคิดว่า’เอียจืออวิ้น’จะบ่มเพาะพลังวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว

ในกาลก่อน เขาเคยปล่อยปละละเลยนาง เนื่องจากว่านางนั้นมิได้สืบทอดความเป็นอัจฉริยะเหมือนดังเช่นเขา ถึงนางจะมีทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกฝนจำนวนมหาศาล แต่นางยังมิสามารถขึ้นเป็นระดับบรอนซ์ ขั้นหนึ่งดาวได้ แต่ก็นับว่านางจะเก่งมากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แต่สำหรับลูกสาวเจ้าเมืองนั้น แค่นี้มิเพียงพอหรอก

แต่เดี๋ยวนี้ ‘เอียจืออวิ้น’ บ่มเพาะพลังได้เร็วจนน่ากลัวเล็กๆแล้ว ดูจากแรงพลังวิญญาณที่แผ่ออกมา ‘เอียเซิ่ง’สามารถบอกได้ว่าตอนนี้ ‘เอียจืออวิ้น’นั้นบ่มเพาะพลังถึงระดับ ซิลเวอร์ ขั้น ห้าดาว แล้ว

นอกจากนี้ ดวงจิตอสูรราชินีหิมะเหมันต์ ที่’เอียจืออวิ้น’ ผสานอยู่นั้นดูเหมือนว่ามันจะแข็งแกร่งกว่าดวงจิตอสูรราชินีหิมะทั่วๆไป ถ้าเกิดมีการต่อสู้ขึ้น แม้ว่าจะเป็นร่างทรงอสูรระดับ โกลด์ ขั้น หนึ่ง ดาวก็มิสามารถต่อกรกับนางได้

‘เอียเซิ่ง’ สับสนเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะวุ่นมากๆและจนไม่สามารถจะพบลูกสาวของเขา โดยต้องใช้เวลากว่าสองเดือนในการทำงาน เขายังคงกังวลเป็นห่วงเป็นใย’เอียจืออวิ้น’มากนัก

เขาทราบข่าวการบ่มเพาะพลังของนางจากน้าฉ่วยผู้คอยดูแล’จืออวิ้น’ เมื่อไม่นานานมานี้นางไม่น่าจะมีพลังเกินระดับบรอนซ์ ทำไมช่วงเวลาสั้นๆใช่นั้น นางจึงบ่มเพาะพลังถึงระดับซิลเวอร์ ขั้นห้าดาวเรียบร้อยแล้วกัน?

นี่คือสิ่งท้าทายที่อยู่นอกเหนือขีดจำกัดของความรู้ของเขา

ความสามารถที่พิเศษขนาดนี้ แม้กระทั้งเขายังต้องอับอายในตัวเองนัก เมื่อเขายังต้องใช้เวลาหลายปีในการเลื่อนจากระดับบรอนซ์ขั้นหนึ่งดาวจนกลายมาเป็นระดับเงินขั้นห้าดาวได้

สิ่งที่ทำให้เขาตกใจมากยิ่งกว่าก็คือ ในหมู่ของดวงจิตอสูรราชินีหิมะเหมันต์นั้นมีพลังมากนักและหายากยิ่ง ในนครรุ่งโรจน์ มีจำนวนอยู่เพียงไม่กี่โหลเท่านั้น และยังไม่ต้องพูดถึง’เอียจืออวิ้น’ ที่มีราชินีหิมะเหมันต์พิเศษมากๆ จนมีโอกาสที่จะพบดวงจิตอสูรที่มีประสิทธิภาพสูงส่งขนาดนั้นเพียงหนึ่งในล้านเท่านั้น

ในขณะเดียวกันกับความรู้สึกตกใจ เขาก็มีความรู้สึกยินดีเกิดขึ้นกับ’เอียจืออวิ้น’ด้วย มิมีผู้ใดที่เข้าใจสถานการณ์ของนครรุ่งโรจน์ได้ดีเท่าเขา ทุกๆเวลา ทุกๆวินาที ล้วนมีภยันตรายคอยล้างผลาญเมืองแห่งนี้อยู่ตลอดเวลา เขาคิดถึงสถานการณ์ของเมืองรุ่งโรจน์แห่งนี้อยู่ต่อเนื่องจนเป็นสาเหตุที่ทำให้มิสามารถนอนหลับได้สนิท

เขาได้สนับสนุนทุกอย่างโดยปราศจากข้อจำกัดให้กับนครรุ่งโรจน์แห่งนี้ เพื่อที่จะให้ตระกูลของเขา และประชากรในนครรุ่งโรจน์รู้สึกปลอดภัย ในฐานะที่เป็นธิดาของเจ้าเมืองนั้น แม้มีหลายคนคอยจะปกป้องนางแต่นางสามารถปลอดภัยอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อ นางนั้นบ่มเพาะพลังจนแข็งแกร่ง

เขานั้นมีความสุขเป็นอย่างมากที่ ‘เอียจืออวิ้น’ นั้นสามารถบ่มเพาะพลังได้เร็วถึงเพียงนี้ เมื่อเขาคิดถึงแม่ของนาง ขอบตาอันเหี่ยวย่นก็มีหยดน้ำตาหลั่งออกมาเล็กน้อย

หลังจากที่เกิดเรื่องกับ’เนี้ยหลี่’ในก่อนหน้านี้ ความอึดอัดระหว่างพ่อและลูกสาวยังมิได้รับการแก้ไข พวกเขามิได้พูดกันมาเป็นระยะเวลานาน เขาเตรียมการที่จะเข้าไปสนทนากับ’เอียจืออวิ้น’ เพื่อที่จะรู้เรื่องราวหลายอย่างเกี่ยวกับลูกสาวของเขา

เมื่อเขาย่างก้าวออกไปนั้น ภาพที่เห็นอยู่ในสายตาคือ ‘เนี้ยหลี่’กำลังเดินตรงไปหา’เอียจืออวิ้น’ ‘เอียเซิ่ง’ถึงกับหน้ามืดไปเลยทันทีพร้อมกับถอนใจเลยทีเดียว

ตอนที่’เนี้ยหลี่’เปลือยกายอยู่ในห้องของเอียจืออวิ้นนั้น คงไม่สามารถยกโทษให้ได้ ถ้าไม่มีคนหนุนหลัง’เนี้ยหลี่’ ‘เอียเซิ่ง’คงจะซัด’เนี้ยหลี่’ติดผนังตายไปแล้วในตอนนั้น เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เขายังถูก’เนี้ยหลี่’เอาเรื่องอาณาเขตหมื่นอสูรมาบังคับขู่เข็ญอีกต่างหาก

เพื่อประโยชน์โดยรวมของนครรุ่งโรจน์แล้ว’เอียเซิ่ง’ ไม่มีทางเลือกที่จะถอยหลังอีกแล้ว จึงต้องปล่อยให้’เนี้ยหลี่’อยู่ที่นี่ อย่างไรก็ตามเพื่อรับประกันว่าจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนาง

‘เอียเซิ่ง’จึงตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่เพื่อคอยจับตาดู’เนี่ยหลี่’ เขามีอาการคันเท้าอยากเตะ’เนี้ยหลี่’ที่อยู่ไกลออกไปเป็นที่สุด ถึงแม้ว่าเขาจักโกรธจัดแต่ก็สามารถระงับมันได้ เพราะการสร้างอาณาเขตหมื่นสัตว์อสูรทั้งหมดยังคงต้องการให้ ‘เนี้ยหลี่’ เป็นผู้ลงมือจัดการ

“ข้าจะคอยจับตาดูว่าเจ้ามีแผนการใด ถ้าเจ้ากล้าที่จะทำสิ่งใด จืออวิ้น ถึงแม้จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้ไม่ได้อาณาเขตหมื่นสัตว์อสูร ข้าก็จักจัดการเจ้า”

‘เอียเซิ่ง’ คิดด้วยความโกรธ

‘เอียจืออวิ้น’นั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับรู้การปรากฏตัวของ’เอียเซิ่ง’ เพราะว่าเขานั้นเป็นถึงร่างทรงอสูรระดับ แบล็คโกลด์ เมื่อเขาตั้งใจปกปิดตัวเองก็เป็นเรื่องที่ยากอย่างมากที่จักตรวจจับได้

เมื่อรู้สึกว่ามีบางคนเข้ามาใกล้ ‘เอียจืออวิ้น’ก็ขยับตาเล็กน้อยแล้วลืมตาของนางขึ้น

“เจ้าเองเหรอ……….”

เมื่อเจอ’เนี้ยหลี่’มิรู้ว่าทำไมนางจึงรู้สึกหัวใจเต้นระรัว แก้มของนางแดงเปล่งเป็นคำใบ้ ที่บอกให้ทราบได้เป็นอย่างดี ความขี้อายของนางนั้นทำให้ช่างดูมีเสน่ห์เป็นยิ่งนัก

“สวัสดี รอบค่ำนะ”

‘เนี้ยหลี่’หัวเราะ พร้อมขยิบตาไปทาง ‘เอียจืออวิ้น’

“ทำไมเจ้าถึงมา…….”

‘เอียจืออวิ้น’ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบสายตา’เนี้ยหลี่’ นางไม่รู้ว่าจักต้องทำสิ่งใดต่อไปหลังจากนั้น ‘เนี้ยหลี่’ปรากฏตัวทำให้เธอหวั่นไหว นอกจากนี้มันเป็นช่วงเวลากลางคืน เด็กชาย และเด็กหญิงอยู่กันเพียงลำพังในสวน ‘เอียจืออวิ้น’ไม่กล้าเข้าไปในตึกของนางใน สาเหตุเพราะ’เนี้ยหลี่’อยู่ในนั้น การติดต่อพูดคุยกันในสวนนางยังพอที่จะยอมให้เป็นไปได้บ้างเล็กน้อย

‘เนี้ยหลี่’หยุดการก้าวย่าง เมื่ออยู่ห่างราวสามเมตร จาก’เอียจืออวิ้น’ เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากบริเวณมุมหนึ่งของสวนแห่งนี้ จนทำให้เขามิสามารถที่จะยิ้มออกมาได้เลย ถึงแม้ว่า’เอียเซิ่ง’สามารถปกปิดกลิ่นอายที่แผ่ออกมากับ ‘เอียจืออวิ้น’ได้ แต่มิสามารถหลบพ้นจาก’เนี้ยหลี่’ไปได้

“ข้ารับประทานอาหารเสร็จ ก็ออกมาเดินเล่น เห็นเจ้ากำลังฝึกฝนอยู่ ข้าก็เดินมาหาเท่านั้น”

‘เนี้ยหลี่’กล่าวทั้งรอยยิ้ม

‘เอียจืออวิ้น’ เงยหน้าขึ้นมองมายัง’เนี้ยหลี่’ แล้วก้มหน้าลงอีกครั้งจากนั้นก็ถอนหายใจอย่างรุนแรงและกล่าวว่า

“เนี้ยหลี่ ข้ามิรู้ว่าเจ้ามีวิธีการโมน้าวให้ท่านลุงเอียซิว จึงนำเจ้ามาอยู่ที่นี้ แต่ไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าจะมิยอมให้เจ้าพบอีกต่อไปแน่”

“อะไรกัน…….เจ้าไม่ต้องการพบข้าอีกแล้วหรือ?”

‘เนี้ยหลี่’แสดงสีหน้าอาการคนอกหัก

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เด็กในตระกูลสูงส่งเช่นเจ้าคงมิยินยอมที่จะเป็นเพื่อนกับสามัญชนเช่นข้า”

“นั่นมิใช่สาเหตุ……”

เมื่อเห็นกิริยาของ’เนี้ยหลี่’ ‘เอียจืออวิ้น’ก็โบกมือส่ายไปมาและอธิบายไปตามหัวใจของนาง นางจะมิปล่อยให้’เนี้ยหลี่’อกหักเด็ดขาด

“เนี้ยหลี่แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนที่ดูแปลกเล็กน้อย……..แต่มีความซื่อตรง ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นบุคคลเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือเพื่อนคนอื่น มิเช่นนั้นแล้วเจ้าคงจะมิยอมช่วยเหลือข้าเช่นนี้ แม้ว่าเจ้าโดยปกติมักจะทำให้ข้ารำคาญเป็นประจำ การที่ข้าไม่พบเจ้ามิใช่ความเกลียดชัง กลับตรงกันข้าม ข้านั้นยังหวังให้เจ้ามาสร้างความรำคาญให้ข้าอีกนั่นก็เพราะว่าสาถานที่ใหญ่โตอย่างตำหนักเจ้าเมืองแห่งนี้ ข้ามักจะรู้สึกเหงามากมีเพียงป้าฉ่วย ที่สามารถพูดคุยด้วยได้ ครั้งหนึ่งข้ามีเพื่อนที่ดีอย่างหนิงเอ๋อ แต่หลังจากนั้นนางก็มิได้มาที่นี่อีกเลย เจ้าคือเพื่อนที่ดีคนที่สองของข้าแต่เจ้าต้องเข้าใจเรื่องนี้ บิดาของข้าจักมิยอมปล่อยให้เราอยู่ด้วยกันอย่างแน่นอน”

‘เอียจืออวิ้น’เอ่ยอย่างเศร้าสร้อย

‘เนี้ยหลี่’ชำเลืองตาไปยังมุมที่ไกลออกไป ถอนหายใจพร้อมทั้งกล่าววาจา

“ ข้าต้องบอกว่า เอียเซิ่งนั้นมิมีสมบัติในการเป็นพ่อ เขาปล่อยให้เจ้าอยู่อย่างโดดเดี่ยวในตำหนักแห่งนี้เพียงลำพัง เจ้าต้องใช้ชีวิตอยู่ผู้เดียวและมิยอมให้เจ้ามีเพื่อนพูดคุย เขาไม่สมควรที่จักเป็นพ่อ”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นของ’เนี้ยหลี่’ ‘เอียเซิ่ง’ ได้แต่ยืนนิ่งในเงามืดหาได้โกรธแม้แต่น้อย เขากลับมีเพียงความเจ็บปวดและเศร้าอยู่ในดวงตาของเขา

“เนี้ยหลี่ เข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเอ่ยเกี่ยวกับบิดาของข้า เขานั้นมิมีทางเลือก เพื่อนครรุ่งโรจน์ ทุกๆการตัดสินใจเพื่อความปลอดภัยของนครรุ่งโรจน์ คงวุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆในแต่ละวัน จนไม่สามารถดูแลข้าได้ ข้าต้องตั้งใจฝึกซ้อมจนกลายเป็นร่างทรงอสูรที่แข็งแกร่งจึงจะช่วยท่านพ่อแบ่งเบาภาระได้ ในกาลก่อน ไม่ว่าจะพยายามอย่างหนักเท่าใด การบ่มเพาะพลังของข้าจักเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ต้องของคุณเจ้า….”

‘เอียจืออวิ้น’ มอง’เนี้ยหลี่’ อย่างทราบซึ้งใจในบุญคุณ นางจักใช้ทุกสิ่งตอบแทนเขาแก่เขา

รู้สึกได้ว่า’เอียจืออวิ้น’จักพูดบางสิ่งที่มิสมควรออกมา ‘เนี้ยหลี่’โบกมือไปมาพร้อมกล่าว

“ เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไป เอียเซิ้ง เอียเซิ้งเป็นพ่อของเจ้า เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เจ้าจักต้องฟังเขา หลังจากที่เขาทำร้ายข้าจนบาดเจ็บ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องสะสางกับเขา! เมื่อเห็นใบหน้าเจ้า ข้าจักมิยอมเอาความเรื่องนี้”

‘เอียเซิ่ง’ มีอารมณ์ตื้นตันใจหลังจากได้ยิน’เอียจืออวิ้น’กล่าว แต่หลังจากได้ยินคำพูด’เนี้ยหลี่’ เขาก็โกรธในทันที ใครกันแน่ที่ต้องชำระกับใคร? เจ้าอยู่ในห้องลูกสาวข้าด้วยร่างกายที่เปลือยเปล่า เจ้ายังมีบางสิ่งต้องมาชำระกับข้าอีกหรือ?

‘เอียเซิ่ง’สามารถพิจารณาได้จากประสบการณ์เห็นได้ชัดเลยว่าเนี้ยหลี่ช่างเป็นคนไร้ยางอายยิ่งนัก

‘เนี้ยหลี่’ยิ้มแล้วกล่าว

“ข้าจะอยู่ที่นี้อีกสักพักเจ้าไม่ต้องกังวลใดๆ พ่อของเจ้าจักมิทำสิ่งใดกับข้าแน่เขายังต้องการให้ข้าช่วยก่อสร้างอาณาเขตหมื่นสัตว์อสูร เพื่อเรื่องอาณาเขตหมื่นสัตว์อสูร เขาแลกเปลี่ยนเจ้าให้ข้าแล้ว”

“อาณาเขตหมื่นสัตว์อสูร มันคืออะไรหรือ?”

‘เอียจืออวิ้น’ เบิกตาของนางจนลุกโพลงใส

‘เนี้ยหลี่’ กล่าวว่า

“ อาณาเขตหมื่นสัตว์อสูร นี้จักสร้างหมื่นสัตว์อสูรระดับแบล็คโกลด์ ตามรูปแบบแปลนในจารึก เมื่อลงมือสร้างเสร็จ เมื่อเปิดใช้งานอาณาเขตหมื่นสัตว์อสูร จะสามารถหยุดการโจมตีจาก ร่างทรงอสูรระดับตำนานได้เป็นโหลเลยนะ”

“อ๋อ เพราะสาเหตุนี้”

‘เอียจืออวิ้น’ ยืนนิ่งชั่วครู่แล้วเอ่ย

“มิแปลกใจเลยทำไมท่านพ่อของข้าจึงยอมรับ………….”

“ถ้าเจ้าได้เห็นสีหน้าที่แท้จริงของบิดาเจ้า เพื่อเมืองรุ่งโรจน์แล้วเขายินดีที่จะทำทุกสิ่ง”

เป็นที่แน่นอนว่า’เนี้ยหลี่’ มิยอมที่จะลืมปั่นหัวเล็กๆน้อยๆ กับ’เอียเซิ่ง’ที่หลบซ่อนตัวอยู่และยังแอบยิ้มอย่างวายร้ายอยู่ในใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของ’เนี้ยหลี่’ ความวิตกกังวลก็ปรากฏขึ้นปกคลุมบนใบหน้า’เอียเซิ่ง’ โดยธรรมชาติแล้วเขาจะมิยอมขายลูกสาว สำหรับเรื่องอาณาเขตหมื่นอสูร เขาจะแสดงและอธิบายให้’เอียจืออวิ้น’ฟังด้วยตัวของเขาเอง แต่เมื่อเห็นสีหน้าของ’เอียจืออวิ้น’เคร่งขรึม นางเงยหน้าขึ้นและเอ่ยวาจาเคร่งเครียดจริงจัง

“เนี้ยหลี่ ถ้าเจ้าสามารถสร้างอาณาเขตหมื่นสัตว์อสูร ให้นครรุ่งโรจน์ ปลอดภัย เจ้าจักมีผลงานอันมิอาจประมาณได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วถ้าท่านพ่อของข้า……ข้าจักมิบ่นอะไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเข้าพักในตำหนักของข้าถ้า……ถ้ามันหมายถึงการที่ต้องเป็นผู้หญิงของเจ้า ข้าก็จักตกลงรับมัน”

‘เอียจืออวิ้น’ แก้มแดงขึ้นเล็กน้อย แต่สีหน้านั้นแลเห็นได้ถึงความจริงจัง

‘เนี้ยหลี่’แลมายัง’เอียจืออวิ้น’ เขาก็มีความรู้สึกอบอุ่นภายในหัวใจ พ่อและลูกสาวช่างเหมือนกันนัก เพื่อนครรุ่งโรจน์ พวกเขายอมที่จักเสียสละตัวเอง ‘เนี้ยหลี่’หัวเราะพร้อมทั้งเอ่ยว่า

“เจ้ากล่าวสิ่งใดออกมา เจ้าไม่สามารถกลับคำได้นะ”

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments