I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 134 เซี่ยวเสวีย

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 6413 | 2427 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“เจ้าเชื่อไหม ถ้าคอเจ้าขยับแม้เพียงนิด เจ้าคงตายไปแล้ว”

มีดของเอียฮั่นพาดลงไปที่คอของ’เสิ่นซิ่ว’ เสียงของเขานั้นเยือกเย็นปานเชือดเฉือนกระดูก

“เอียฮั่น เจ้าไม่น่าจะทำแบบนี้กับเพื่อนเก่าเลยนะ”

‘เสิ่นซิ่ว’ดูไม่ยี่หระเท่าไรนักกับการกระทำของ’เอียฮั่น’และหัวเราะออกมา

“ข้าพนันเลยว่าเจ้าไม่ฆ่าข้าหรอก เพราะข้ารู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้านั้นเป็นคนเช่นไร”

“แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นไรกันล่ะ?”

‘เอียฮั่น’ถามออกไปทีละคำพร้อมจ้องมองไปที่คอของ’เสิ่นซิ่ว’ด้วยแววตาอันดุร้าย

“เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง อีกทั้งเจ้ายังเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อเป้าหมาย แรกเริ่มเดิมทีเจ้าก็น่าจะเข้าใจว่าการไปนั่งตำแหน่งเจ้าเมืองนั้นจะต้องพบกับการปฏิเสธที่ไม่อาจคาดเดาได้ นอกจากเอียเซิ่งและบางคน ตระกูลวายุเหมันต์นั้นแทบจะเป็นศัตรูกับเจ้าทั้งตระกูล มีเพียงแค่ตระกูลศักดิ์สิทธิ์ของเข้าเท่านั้นที่จะช่วยให้เจ้านั่งตำแหน่งเจ้าเมืองได้”

‘เสิ่นซิ่ว’นั้นไม่กังวลเลยว่ามีดนั้นอยู่ใกล้กับคอเธอในระยะอันน้อยนิด นอกจากนี้เธอยังสามารถยกยิ้มออกมาได้อีกด้วย

“เจ้าต้องการจะต่อต้านตระกูลวายุเหมันต์ด้วยเพียงลำพังแค่ตระกูลศักดิ์สิทธิ์งั้นรึ?”

‘เอียฮั่น’ถามเสียงเย็น

“ถ้าข้าจะบอกว่า รวมถึงสมาคมมืดด้วยล่ะ”

‘เสิ่นซิ่ว’ยักคิ้วออกมา

“เจ้าหมายความว่าตระกูลศักดิ์สิทธิ์รวมหัวกับสมาคมมืดงั้นรึ”

น้ำเสียงของ’เอียฮั่น’นั้นเยือกเย็นจนถึงที่สุด

“เจ้าไม่กลัวข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับพ่อบุญธรรมของข้าหรือยังไง”

“ฮ่า ฮ่า แล้วยังไง? เอียฮั่น เจ้าอย่าทำตัวเป็นเด็กน้อยเลย ตระกูลวายุเหมันต์นั้นรับรู้ได้ว่าตระกูลศักดิ์สิทธิ์มีความข้องเกี่ยวกับสมาคมมืด พวกมันทำได้แค่รอคอยและหาหลักฐานที่แน่ชัดเพื่อที่จะเอาผิดกับตระกูลศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าตระกูลวายุเหมันต์คิดจะล้างบางตระกูลศักดิ์สิทธิ์มากเพียงไรแต่มันก็ไม่มีหลักฐานที่เพียงพอ พวกมันไม่อาจจะโน้มน้าวผู้คนให้คล้อยตามหลักฐานอันเลื่อนลอยได้หรอก”

‘เสิ่นซิ่ว’เอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

“ถ้าข้าเป็นเจ้าเมือง ข้าจะทำลายตระกูลศักดิ์สิทธิ์ก่อนแล้วค่อยอธิบายกับผู้คนในเมืองทีหลัง”

‘เอียฮั่น’แค่นเสียงตอบ

“นั่นถ้าหากว่าเจ้าเป็นเจ้าเมือง แต่เจ้านั้นไม่ใช่ จะทำเรื่องสูญเปล่าไปทำไม? ก่อนที่เจ้าจะได้เป็นเจ้าเมือง ไม่ต้องพูดถึงตระกูลวายุเหมันต์เลย แม้แต่ผู้คนในเมืองและตระกูลศักดิ์สิทธิ์ของเข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ใช่”

‘เอียฮั่น’ถึงกับชะงัก ตาของเขามืดหม่นพร้อมกับลดมีดลง

“ข้าชอบตัวตนของเจ้า ข้าเพียงสนใจจะเข้าร่วมแผนกับเจ้า เจ้าจะให้ข้าร่วมงานกับเจ้าได้หรือเปล่าล่ะ?”

ตอนนี้เขาไม่มีโอกาสอื่นใดอีกนอกจากจะอยู่ฝ่ายตระกูลศักดิ์สิทธิ์

‘เสิ่นซิ่ว’คาดไว้แล้วว่า’เอียฮั่น’จะต้องยอมรับข้อเสนอของเธอ

“สถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะจะพูดคุยเท่าไรนัก ตามข้ามา”

‘เสิ่นซิ่ว’พูดพร้อมกับพุ่งตัวออกไป

‘เอียฮั่น’ใช้เวลาคิดเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะตามเธอไป ทั้งสองคนหายเข้าไปในป่าอย่างเงียบเชียบ

ที่บริเวณริมพื้นที่ของคฤหาสถ์เจ้าเมือง

ที่นี่มีสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่อยู่ ด้วยการกัดเซาะจากฟ้าฝนทำให้ที่นี่นั้นเกิดรอยด่างขึ้นตามกำแพง ที่นี่เป็นโดมขนาดใหญ่ไม่ได้เข้ากับสิ่งปลูกสร้างของเมืองกลอรี่แม้เพียงนิด

ในช่วงยุคมืด เมืองกลอรี่เคยมีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่สัตว์อสูรคลั่งได้มีผู้คนจำนวนมากมายถูกสังหาร แต่ก็ไม่มีใครพบศพเลย ทุกศพเสมือนสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าเมืองกลอรี่มีประวัติความเป็นมาเช่นไร

ผู้ก่อตั้งที่มีพลังร่างทรงอสูรระดับตำนานทั้งห้าได้นำผู้คนนับแสนมายังที่นี่ในขณะที่พวกเขาต่อสู้พร้อมล่าถอยไปยังหุบเขาบรรพชน พวกเขาพ่ายแพ้จนต้องถอยเข้าไปยังเมืองกลอรี่และเริ่มสร้างเมืองใหม่อีกครั้ง

หลังจากนั้นมาเมืองกลอรี่ก็แทบจะมีประสบการณ์ถูกตีแตกนับครั้งไม่ถ้วน แม้ว่าเหล่าบรรพบุรุษจะสร้างเมืองขึ้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าได้ แต่ก็มีหลายตระกูลที่ต้องล่วงหล่นเสื่อมสลายไปจนถึงตอนนี้

แท้จริงแล้วประวัติศาสตร์ดั้งเดิมของเมืองกลอรี่นั้นได้ถูกทำลายไปเป็นเวลานานแล้ว เสียงข้างมากเสนอให้สร้างเมืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนั่นคือเมืองที่อยู่มาจนถึงปัจจุบัน โดมแห่งนี้นั้นถูกสร้างและซ่อนเอาไว้เปรียบดั่งเงาอันขาวกระจ่าง* แม้แต่ร่างทรงอสูรระดับตำนานก็ไม่อาจเข้ามายังที่แห่งนี้ได้

*(เงาอันขาวกระจ่าง = มันคือสิ่งที่เห็นได้ชัดแต่ไม่อาจเห็นได้ชัด ในที่นี้โดมแห่งนี้คือสถานที่ ที่สามารถเข้ามาได้ แต่ก็ไม่อาจจะเข้าได้ใจในสถานที่นี้ได้อย่างถ่องแท้ว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่)

ที่นี่ควรจะกล่าวได้ว่าเป็นข่ายอาคมโบราณขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยปริศนา บนกำแพงของโดมนั้นเต็มไปด้วยบันทึกที่ถูกแกะสลักที่บางครั้งก็ดูเปล่งประกายเงางาม

ในชาติก่อนนั้น ก่อนที่เมืองกลอรี่จะถูกทำลาย ท่านเจ้า’เอียมัวร์’ได้ค้นพบวิธีที่จะทำลายข่ายอาคมนี้ ยังก่อนก็ตามก่อนที่เขาจะได้แก้ปริศนาเหล่านี้ได้ ภัยพิบัติก็มาเยือนเมืองกลอรี่เสียก่อน ‘เนี่ยหลี’ครุ่นคิด สิ่งที่ท่านเจ้า’เอียมัวร์’ค้นพบในข่ายอาคมโบราณแห่งนี้นั้นจะส่งผลให้สมาคมมืดเกิดสนใจขึ้นมา?

‘เนี่ยหลี’และคนอื่น ๆ ได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ระหว่างทาง’เนี่ยหลี’ได้รวมร่างกับจิตเงาอสูรเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครติดตามมา จนกระทั่งเขาแน่ใจและวางใจได้

“เนี่ยหลี เจ้าจะมาทำอะไรที่นี่”

‘ลู่เพรียว’เอ่ยถามอย่างสนอกสนใจ

สถานที่แห่งนี้ เขาเคยมาแล้วเมื่อตอนยังเป็นเด็ก เขาเล่นรอบบริเวณนี้กับเพื่อน ๆ ยังไงก็ตามศูนย์กลางของสิ่งก่อสร้างนี้ถูกปกคลุมไปด้วยม่านพลังที่ทำให้พวกเขาไม่อาจเข้ามายังที่แห่งนี้ได้

พวกนายจะรู้ในอีกไม่ช้า แม้ว่า’เนี่ยหลี’จะมีรายละเอียดโดยคร่าว ๆ ของข่ายอาคมโบราณแห่งนี้จาก’เอียจื้ออวิ้น’ เขาได้เข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับมัน และยังเข้าใจถึงวิธีที่จะทำลายข่ายอาคมแห่งนี้อีกด้วย

หลังจากที่’เนี่ยหลี’ได้เข้าใจ เขาสัมผัสได้ถึงระดับที่ไม่อาจเอื้อม

“เจ้ารู้วิธีที่จะทำลายม่านพลังชั้นนอกนี้อย่างนั้นเหรอ?”

‘ตู่ซื่อ’พยายามคิดเกี่ยวกับสิ่งที่’เนี่ยหลี’พูดก่อนหน้า

‘เว่ยหนาน’และคนอื่นจ้องมองไปยัง’เนี่ยหลี’ พวกเขารู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะได้ยินพวกผู้ใหญ่พูดคุยกันว่า แม้แต่ร่างทรงอสูรระดับตำนานอย่างท่านเจ้า’เอียมัวร์’ยังไม่อาจทำลายม่านพลังชั้นนอกนี้ได้ ‘เนี่ยหลี’จะมีวิธีการอันใดกัน

“ตามข้ามา”

‘เนี่ยหลี’กล่าวพร้อมเดินไปยังข่ายอาคมโบราณนั้น เมื่อพวกเขาไปยังกึ่งกลางของข่ายอาคมโบราณได้ปรากฏแสงสว่างวาบออกมาเป็นทางจากระยะไกล

“ลู่เพรียว จำตำแหน่งของเจ้าไว้!”

เสียงนั้นดังและกระจ่างชัดยิ่งนัก

เมื่อได้ยินเสียงนั้น ‘ลู่เพรียว’รู้สึกเสียวสันหลัง เขาสะดุ้งและรีบมองไป’เนี่ยหลี’ทันที

“เนี่ยหลี ข้าขอเผ่นก่อนล่ะ เจ้าจะบอกว่าข้าไม่ได้อยู่แถวนี้ก็ได้”

จากตำแหน่งนั้น’ลู่เพรียว’เตรียมเผ่นอย่างมาดมั่นเพื่อที่จะหนีไปให้พ้น

ในจังหวะที่’ลู่เพรียว’จะเผ่นหนีนั้น ‘เนี่ยหลี’สะบัดมือออกเพื่อไปคว้าเสื้อของลู่เพรียวไว้ เมื่อ’ลู่เพรียว’ออกวิ่งเขาได้ถูก’เนี่ยหลี’ดึงกลับพร้อมตวัดลงพื้นทำให้ก้นของเขาจ้ำเบ้าเข้ากับพื้นเต็ม ๆ

“เนี่ยหลี ทำอะไรของเจ้าเนี่ย”

‘ลู่เพรียว’อุทานพร้อมปรายตามองไปยัง’เนี่ยหลี’

“ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่ต้องการถามว่าเจ้าจะไปไหน?”

‘เนี่ยหลี’เปิดปากถามอย่างไร้เดียงสา

“ข้าบอกไม่ได้ ข้าต้องรีบออกไป มันเกี่ยวพันถึงความเป็นและความตายของข้า!”

หน้าของ’ลู่เพรียว’แสดงสีหน้าจะเป็นจะตายเสียให้ได้ เขาเร่งรีบที่จะเผ่นหนีอีกรอบ

ทันใดนั้น’เนี่ยหลี’ก็ก้าวถอยหลัง ในขณะที่’ลู่เพรียว’วิ่งหนี เขาถูกสกัดโดย’เนี่ยหลี’และรู้สึกได้ว่าเขาไม่อาจหนีไปไหนได้พ้น ‘ลู่เพรียว’พูดออกมาทั้งน้ำตา

“เนี่ยหลี เรายังเป็นสหายที่ดีต่อกันใช่ไหม”

“เจ้าช่างประมาทยิ่งนัก บอกก่อนว่าเจ้าคิดจะไปที่ไหนให้พวกเราสบายใจหน่อย”

‘เนี่ยหลี’กล่าวถาม

“ข้าจะบอกพวกเจ้าหลังจากที่ข้ากลับมา”

ขณะที่’ลู่เพรียว’จะเผ่นหนีอีกครั้ง เขาได้หันหน้ากลับจ้องไปยั’งเนี่ยหลี’

“อย่ามาขวางข้าอีกล่ะ!”

“เข้าไม่ได้ขัดขวางเจ้า ก่อนอื่นบอกพวกเราก่อนว่าทำไมเจ้าต้องหนีด้วย”

ความจริงแล้ว’เนี่ยหลี’แทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เขาเพียงต้องการถ่วงเวลา’ลู่เพรียว’เท่านั้น

“ถ้าเจ้าฉุดกระชากข้าอีกครั้ง เราก็จบความสัมพันธ์กันเพียงเท่านี้แหละ”

หลังจากที่ถาม’เนี่ยหลี’ถึงหลายครั้ง ‘ลู่เพรียว’ก็โกรธจนแทบระเบิด ‘เนี่ยหลี’ยกมือทั้งสองขึ้นและกล่าวว่า

“ตกลง ข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้อีกแล้ว เจ้าไปได้”

เมื่อ’ลู่เพรียว’พยายามจะเผ่นอีกรอบ เสียงอันดังและกังวาลก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ลู่เพรียว ถ้าเจ้าจะหนีอีกครั้งก็ไม่ต้องโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีกในชั่วชีวิตนี้!”

หลังจากได้ยินเสียงนั้น ‘ลู่เพรียว’ที่วิ่งไปได้หลายเมตรแล้วจึงหยุดชั่วครู่และกลับมาก้มหน้าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหดหู่
‘เนี่ยหลี’มองไปยังด้านข้าง ผู้หญิงที่ยืนตรงนั้นสวมชุดฝึกฝนสีแดง มือทั้งสองเท้าเอวและเปี่ยมไปด้วยพลังที่เกินกว่าจะพรรณาได้ ผู้หญิงคนนี้คือ’เซี่ยวเสวีย’

เปรียบดั่งเห็นพริกน้อยที่กำลังโกรธ ‘เนี่ยหลี’ไม่อาจไม่นึกถึงเรื่องราวกาลก่อนได้ ‘ลู่เพรียว’และ’เซี่ยวเสวีย’นั้นแทบจะกล่าวได้เลยว่าเป็นคู่รักวิวาทะ!

เมื่อครั้งเยาววัย ‘ลู่เพรียว’และ’เซี่ยวเสวี่ย’เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่ดีต่อกัน พวกเขาต่างก็รักกันและกัน พวกเขาไม่อาจที่จะข้ามหน้าต่างไปหากันและกันได้เมื่อเติบโตขึ้น

ความแตกต่างระหว่างการฝึกฝนพลังก็ช่างแตกต่าง ‘เซี่ยวเสวีย’นั้นมีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมและขยันฝึกฝนอย่างหนัก การฝึกฝนของเธอแทบจะเรียกได้ว่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว ยังไงก็ตามแม้’ลู่เพรียว’จะไม่ได้คิดมากและไม่ใส่ใจกับการฝึกฝนพลังทำให้ระยะห่างของพวกเขาทั้งสองแยกห่างออกจากกันและกัน

‘ลู่เพรียว’ได้แต่แอบมอง’เซี่ยวเสวีย’อาบน้ำหลายต่อหลายครั้งจนกระทั่งถูกคนของตระกูลเซี่ยวจับได้ ด้วยระดับพลังของ’เซี่ยวเสวีย’ถ้าเธอไม่ต้องการให้’ลู่เพรียว’แอบดู ‘ลู่เพรียว’ก็ไม่มีทางที่จะมาแอบดูเธออาบน้ำได้อย่างแน่นอน

มันเป็นเรื่องจริงอันน่าโศกเศร้าของชีวิตที่ตระกูลเซี่ยวไม่อาจยอมรับให้’เซี่ยวเสวีย’แต่งงานกับนายน้อยของตระกูลลู่ได้ ความรักของพวกเขาทั้งสองแทบจะพังทลาย สำหรับ’ลู่เพียว’ชีวิตของเขาแทบจะต้องอยู่กับความทุกข์

ในช่วงเวลาที่กำแพงของเมืองกลอรี่พังทลายลง เหล่าสัตว์อสูรได้เข้ามาก่อความวุ่นวายในเมือง ‘ลู่เพรียว’แทบจะตาเหลือกตาลานไปหา’เซี่ยวเสวีย’ เมื่อภัยพิบัติมาเยือนทั้งคู่ได้แต่งงานกันโดยมี’เนี่ยหลี’และ’ตู่ซื่อ’เป็นพยานความรัก หลังจากที่พวกเขาแต่งงานผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง’เซี่ยวเสวีย’ก็จากไปในขณะที่ปกป้องเมืองกลอรี่ ‘ลู่เพียว’ปฏิเสธที่จะหนีออกจากเมืองจนท้ายที่สุดก็ได้จบชีวิตลง

‘เนี่ยหลี’ยังจำได้ราง ๆ ว่า’ลู่เพรียว’นั้นยิ้มอย่างเศร้าศร้อยในขณะที่’เนี่ยหลี’ร้องไห้ไม่ต่างจากเด็ก

แม้’ลู่เพรียว’จะไม่เหลือสิ่งยืดเหนี่ยวแล้ว แต่ความรักของเขาต่อ’เซี่ยวเสวีย’นั้นคือจริงแท้ แม้ว่าเขาจะกลัวที่จะพูดความจริงออกมา แต่ในท้ายที่สุดของชาติที่แล้ว’เซี่ยวเสวีย’ก็ได้แต่งงานกับใครซักคนโดยการคลุมถุงชน ทั้งหมดนี่เป็นเพราะ’ลู่เพรียว’นั้นขาดเขลา ถ้า’ลู่เพียว’กล้าที่จะสู้เพื่อ’เซี่ยวเสวีย’ เธอจะต้องหันกลับมาแน่ ยังไงก็ตาม’ลู่เพรียว’ไม่ได้ให้คำตอบอะไรแก่’เซี่ยวเสวีย’นั่นทำให้’เซี่ยวเสวีย’ท้อแท้ใจ

โศกนาฎกรรมของชีวิตที่แล้ว ‘ลู่เพรียว’ได้กระทำสิ่งที่ผิดพลาดมากมาย มองไปยัง’ลู่เพรียว’ที่เดินกลับมาอย่างนอบน้อมและหน้าปลงตก มุมปากของ’เนี่ยหลี’ก็ยกยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย

“ลู่เพรียว ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้แหละ”

บางทีในชาตินี้โชคชะตาระหว่าง’ลู่เพรียว’และ’เซี่ยวเสวีย’อาจจะเปลี่ยนไปก็เป็นได้เมื่อได้พบกับ’เนี่ยหลี’

‘เซี่ยวเสวีย’มองไปยัง’เนี่ยหลี’ ‘ตู่ซื่อ’และคนอื่น เธอชะงักเล็กน้อยและถามออกมา

“พวกเธอทุกคนเป็นเพื่อนของลู่เพรียวงั้นหรือ?”

“ใช่”

นอกจาก’เนี่ยหลี’ ‘ตู่ซื่อ’และคนอื่น ๆ ได้มองไปยัง’เซี่ยวเสวีย’อย่างรู้สึกประหลาด

จบตอน..

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments