I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 141 ตระกูลปีกสีเงิน

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 7190 | 2522 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

จอมมารจริงๆแล้วก็ไม่ได้มีความจำเกี่ยวกับถ้อยคำจารึกทั้งสิบเท่าไรนักหลังจากได้ทำลายมันไปจากจุดนี้ ทำให้สามารถมองเห็นปณิธานอันแรงกล้าของจักรพรรดิคงหมิงได้จริงๆ

ผู้ที่สามารถจดจำถ้อยคำจารึกทั้งสิบที่เป็นทายาทโดยกำเนิด และเป็นผู้รับมรดกตกทอดมาจากจักรพรรดิ’คงหมิง’ ศึกระหว่างผู้มีสิทธิรับมรดก จะมีปรากฏผู้ชนะเพียงผู้เดียวเท่านั้น

เพียงชั่วครู่’เนี่ยหลี่’ก็ทำใจให้เย็นลง และใช้ความคิด ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หากว่าเขาไปพบใครในอนาคต เขาจะต้องไม่ให้ใครรู้ว่า เขาล่วงรู้เกี่ยวกับถ้อยคำจารึกทั้งสิบไม่ว่าจะเป็น’เอียจื้ออวิ้น’ หรือ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ เขาก็จะต้องไม่ให้รู้เด็ดขาด ถ้า’เอียจื้อหวิ้น’ หรือ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ เกิดบังเอิญทำเรื่องนี้รั่วไหลออกไป มันอาจจะนำมาซึ่งภัยพิบัติก็เป็นได้

ในตอนนี้’เนี่ยหลี่’ยังคงไม่แข็งแกร่งเพียงพอ ทำให้เขาไม่สามารถทราบถึงการดำรงอยู่ของผู้สืบทอดอีกสี่คนที่เหลือได้

เมื่อ’เนี่ยหลี่’ทำการท่องถ้อยคำจารึกทั้งสิบอย่างเงียบๆ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงขอบเขตของพลังวิญญาณของเขาที่เพี่มขึ้น ซึ่งผลลัพธ์นี้เกิดการแตกกิ่งและเติบโตขึ้นภายในของขอบเขตพลังวิญญาณของเขา

มันเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ ที่สามารถเติบโต แตกกิ่งก้านออกไป เหมือนกับว่าพลังวิญญาณของ’เนี่ยหลี่’นั้น ได้แข็งแกร่งขึ้น
‘เนี่ยหลี่’อาจจะรู้สึกได้ว่า สิ่งเหล่านี้จากที่ถูกซ่อนอยู่ภายในขอบเขตพลังวิญญาณของเขา เมื่อเขาเข้าใจถึงบางส่วนของถ้อยคำจารึกทั้งสิบแล้ว มันทำให้ระดับพลังของเขาเติบโตขึ้น สิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งนี้คืออะไรกันแน่?

‘ตู่ซื่อ’ ‘ลู่เปียว’ และพรรคพวกได้รอเขามาเป็นเวลานานแล้ว ‘เนี่ยหลี่’จึงจำเป็นต้องกลับไปในตอนนี้ก่อน

“เจ้าพบอะไรในการสำรวจอนุสรณ์สถานแห่งนี้บ้าง?”

‘ตู่ซื่อ’มองมายัง’เนี่ยหลี่’ และถามขึ้น เพราะว่าเขาเห็น’เนี่ยหลี่’ยืนที่หน้าอนุสรณ์สถานเป็นเวลานานมาก

“เหมือนว่าข้าจะพบบางอย่าง แต่อย่างไรก็ตาม ข้าไม่สามารถทำการเชื่อมต่อข้อมูลเหล่านี้ได้ พวกเรายังคงต้องตามหาศิลาแห่งแสงกันต่อก่อนดีกว่า”

‘เนี่ยหลี่’กล่าว

“ตกลง”

ถึงแม้ว่า’ตู่ซื่อ’จะยังมีความสงสัยบางอย่าง แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรเพิ่มเติมอีก กลุ่มของ’เนี่ยหลี่’ยังคงเดินทางต่อไปยังภูเขาที่ห่างไกลออกไป

‘เนี่ยหลี่’มองไปยังเว่ยหนาน และกล่าวว่า

“เว่ยหนาน เจ้าผสานรวมร่างกับจิตอสูร และทำการสำรวจพื้นที่บริเวณนี้ และถ้าหากว่าเห็นอนุสรณ์สถานอันใดที่คล้ายกับก่อนหน้านี้ ให้รีบกลับมาแจ้งข้าก่อนเพื่อความปลอดภัย ห้ามเข้าไปสำรวจเพียงลำพังเด็ดขาด”

‘เว่ยหนาน’ ได้ผสานรวมกับจิตอสูรที่มีการเติบโตระดับพระเจ้า จิตอสูรแห่งสายลม หลังจากที่เขาผสานกับมัน ร่างกายของเขามีขนาดที่เล็กลง และไม่สามารถทำการสังเกตเห็นได้โดยง่าย ในขณะเดียวกัน เขาก็จะมีระดับความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เป็นที่แน่นอนว่าสัตว์อสูรระดับธรรมดาไม่มีทางไล่ตามความเร็วของเขาทันแน่นอน

“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”

‘เว่ยหนาน’กล่าวพร้อมกับพยักหน้า เขารีบผสานร่างกับจิตอสูรของเขาอย่างรวดเร็ว แขนขาของเขาดูแข็งแรงขึ้น ยิ่งเวลาเคลื่อนที่ทำให้เขาดูน่าเกรงขามเฉกเช่นสายลมที่พริ้วไหว

‘เว่ยหนาน’สำรวจตามพื้นดิน แต่ว่าภายในเส้นทางราวๆ หนึ่งพันเมตร ขณะที่พยายามสำรวจสิ่งที่ได้รับมอบหมาย แต่ทว่าเขายังไม่พบอะไรเลย

พระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าทีละน้อย ในขณะที่พวกเขาอยู่ที่เชิงเขา ได้มีแสงไฟสว่างมาจากอีกด้านหนึ่งของภูเขา ซึ่งใกล้กับที่ที่พวกเขาอยู่มาก

“ข้าจะไปสำรวจสักหน่อย”

‘เนี่ยหลี่’กล่าว และทำการผสานร่างกับจิตอสูรเงาพราย ร่างของเขาเมื่อผสานกับจิตอสูรสำเร็จแล้วก็ค่อยๆ จางหายในความมืด จนไม่มีใครมองไม่เห็นเขา

ในความคิดของ’เนี่ยหลี่’ หมู่บ้านแห่งนี้มันดูแตกต่างจากหมู่บ้านอื่นๆ ที่เขาเคยเห็นมาก่อน คือบ้านที่นี่ทั้งหมดจะสร้างอยู่บนยอดของต้นไม้ที่สูงตระหง่าน ซึ่งบางที่ยังดูเหมือนเป็นชานชาลา ที่มีสัตว์อสูรวิหคสายฟ้าขนาดใหญ่เกาะอยู่อย่างเงียบๆ

บนศีรษะของวิหคสายฟ้านั้น มีสิ่งที่มีลักษณะคล้ายมงกุฎ ที่ส่องแสงเป็นประกายอยู่ในความมืด
แสงที่พวกเขาเห็น แน่นอนว่าคงต้องมาจากวิหคสายฟ้าเหล่านี้เป็นแน่

สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่ ที่มีประชากรนับหมื่นอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ จากตำแหน่งที่เขายืนดูอยู่ เขาเห็นแสงไฟมากมายในภูเขา มันดูเหมือนมีการทำอะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่งสิ่ง

มียามรักษาการณ์ที่สวมเกราะหนังบางคนที่กำลังถือหอกยาวอันแหลมคมในมือ และยืนประจำอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ ไม่ไกลจากตำแหน่งปัจจุบันที่เขาสังเกตการณ์อยู่ มีเสียงเหมือนการขุดเจาะบางอย่างดังมาจากภูเขา ใช่แล้วพวกเขาดูเหมือนกำลังขุดบางสิ่งอยู่

“พวกแกกล้าอู้งานหรือ? อยากตายมากหรือไง!”

หนึ่งในยามรักษาการณ์ตะโกนขึ้นมาในภาษาของอาณาจักรพิภพแห่งแมกไม้ พร้อมกับฟาดแส้ไปที่เหล่าทาสที่กำลังขุดเจาะอย่างไร้ความปราณี

ทาสที่กำลังขุดเจาะบางคนไม่สามารถทนต่อความบ้าระห่ำนี้ได้ ก็ล้มลงไปกับพื้น แต่ว่าเหล่ายามรักษาการณ์ก็ไม่มีความปราณี ยังคงฟาดแส้ไปที่พวกเขาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งทาสผู้หนึ่งได้กระอักเลือดออกมาและก็ตายลง ยามรักษาการณ์จึงตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า

“ลากมันไปทิ้งไกลๆ และมาทำจัดการทำความสะอาดคราบเลือดบริเวณนี้ซะ!”

แร่ที่พวกเขากำลังขุดเจาะกัน คือเป็นแร่ดิบที่ใช้สำหรับนำไปเป็นวัตถุดิบของ คริสตัลสีเลือดนั้นเอง!

แสดงว่าคนพวกนี้จะต้องมีการนำผลึกโลหิตนี้ไปใช้อย่างไม่ต้องสงสัยเลย แม้ว่าผลึกโลหิตเพียงหนึ่งก้อนนั้นในการจะถลุงจะต้องใช้แร่วัตถุดิบไม่ต่ำกว่าร้อยปอนด์ ซึ่งก็เป็นเหตุผลอย่างมีนัยสำคัญอยู่แล้วสำหรับการทำเหมืองแร่ผลึกโลหิตนี้ แม้ว่าเนี่ยหลี่เองก็ไม่เคยคิดมากก่อนว่าจะมีการทำเหมืองผลึกโลหิตที่นี่

เมื่อ’เนี่ยหลี่’กำลังเตรียมตัวจะทำการสำรวจต่อไป เขารู้สึกได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่เจตนาหมายเอาชีวิต เขารีบเตรียมดาบเทพอัสนีดาวตกให้พร้อมใช้งานในมือเขาทันที และหันไปมองยังพื้นหญ้าด้านข้างของเขา

เมื่อหญ้าเริ่มขยับ ก็ปรากฎร่างหนึ่งขึ้นมาต่อหน้าเขา

“เจ้าเป็นใคร?”

เด็กหญิงชนเผ่าถามเป็นภาษาของอาณาจักรพิภพแห่งแมกไม้ พร้อมกับจัดเตรียมดาบยาวในท่าพร้อมจู่โจม ปรากฏขึ้นจากหญ้า เธอมองอย่างระมัดระวังไปยัง’เนี่ยหลี่’ ด้วยสายตาที่แฝงด้วยเกลียดชัง

‘เนี่ยหลี่’หันมองมาที่เธอ เธอดูแตกต่างจากมนุษย์ปกติทั่วไป เธอมีปีกคู่สีเงินงอกออกมาที่ด้านหลังของเธอ ปีกเหล่านี้ไม่ได้มาจากการผสนของจิตอสูรแต่อย่างใด แต่ว่ามันเป็นปีกที่เกิดมาพร้อมกับร่างกายของเธอ เธอได้สวมใส่ชุดเกราะสีเงิน และมีนัยน์ตาสีเขียวที่เปร่งประกายเป็นแสงสีจางๆ ในความมืด

‘เนี่ยหลี่’ตระหนักได้ทันทีว่า พวกนี้เป็นคนของตระกูลปีกสีเงินที่มาจากอาณาจักรพิภพแห่งแมกไม้ยุคโบราณ

บรรพบุรุษรุ่นแรกที่เป็นอาวุโสของตระกูลปีกสีเงินได้ทำการฝังปีกของวิหคสายฟ้าเข้าไปยังร่างกายของเขา และปีกนี้ได้ทำการส่งผ่านทางสายเลือดไปยังลูกหลานสายตรงที่สืบทอดกันมาในตระกูลปีกสีเงินเท่านั้น

เธอดูเหมือนว่าจะเป็นร่างทรงอสูรระดับทอง 5 ดาว เป็นอย่างน้อย

‘เนี่ยหลี่’ทำการยืนขึ้นในทันที โค้งเล็กน้อย และพูดในภาษาของอาณาจักรพิภพแห่งแมกไม้ว่า

“นับว่าเป็นเกียรติแต่ข้ามากที่ได้พบกับท่าน ข้าเป็นเพียงนักเดินทางที่ผ่านมาเท่านั้น และได้เกิดพลัดหลงมายังที่แห่งนี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ท่านโกรธแต่ประการใด ข้าหวังว่าท่านจะเข้าใจเจตนาของข้าด้วย”

เมื่อได้ยิน’เนี่ยหลี่’พูดตอบด้วยภาษาของอาณาจักรพิภพแห่งแมกไม้ แม้ว่าจะยังมีข้อสงสัยเกิดขึ้นในดวงตาของเด็กหญิง และเธอได้ถามขึ้นมาด้วยท่าทางขึงขังว่า

“เจ้าเป็นใคร? และมาจากที่แห่งใด?”

เนี่ยหลี่คำนวณคร่าวๆ ว่าตระกูลปีกสีเงินนั้นจะต้องย้ายถิ่นฐานมายังที่แห่งนี้ในเวลาระหว่างยุคมืด เพราะว่ายุคของอาณาจักรพิภพแห่งแมกไม้นั้น เป็นยุคเดียวกันกับช่วงเวลาของยุคมืด และจมหายไปจากประวัติศาสตร์พร้อมกับการเกิดขึ้นกองทัพสัตว์อสูร
‘เนี่ยหลี่’ฉุกคิดได้อย่างรวดเร็ว และกล่าวว่า

“บรรพบุรุษของข้ามาจากตระกูลสีเงินจรัสแสง หลังจากในยุคมืดได้ผ่านพ้นไป พวกเรายังคงต้องหลบซ่อนตัว และโชคดีที่ยังคงรอดมาได้จนทุกวันนี้ ข้าได้หลงทางมายังอาณาเขตของท่านโดยบังเอิญ”

“ตระกูลสีเงินจรัสแสงหรือ?”

เด็กหญิงจากตระกูลปีกสีเงินตกใจชั่วขณะ และแสดงอาการตื่นเต้นเล็กน้อย ในยุคของอาณาจักรพิภพแห่งแมกไม้นั้น ตระกูลสีเงินจรัสแสงเป็นพันธมิตรกับตระกูลปีกสีเงิน ทั้งสองตระกูลมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันมาก พวกเขาจำนวนมากที่ได้มีการแต่งงานกันระหว่างทั้งสองตระกูล ดังนั้นจึงทำให้ความสัมพันธ์แนบแน่นขึ้นไปอีก

เด็กหญิงจากตระกูลปีกสีเงินครุ่นคิดสักครู่ และกล่าวว่า

“นับแต่แต่บรรพบุรุษข้าย้ายถิ่นฐานมายังสถานที่แห่งนี้ พวกข้าไม่ได้มีการติดต่อกับโลกภายนอก และพวกข้าก็ไม่สามารถกลับไปยังแผ่นดินใหญ่ตามเดิมได้ จึงต้องอาศัยอยู่ในโลกมืดนี่เท่านั้น แต่ข้าก็ต้อนรับการมายังสถานที่แห่งนี้ของเจ้า ข้าจะรีบแจ้งให้ท่านพ่อทราบทันที เอาละ ตามข้ามาเลย!”

‘เนี่ยหลี่’ครุ่นคิดสักครู่ และพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า

“ได้ครับ”

‘เนี่ยหลี่’เดินติดตามหลังเด็กหญิงเข้าไปยังด้านใน

เด็กหญิงมองมายัง’เนี่ยหลี่’ และดึงเขาขึ้นมา พร้อมกับกล่าวว่า

“ข้าชื่อ หงยู่ แล้วเจ้าชื่ออะไร”

“ข้าชื่อหลิวจื้อ”

‘เนี่ยหลี่’ตอบ

เด็กหญิงพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เธอยังมีความสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของ’เนี่ยหลี่’ แต่เมื่อเธอได้ยินแซ่ของเขา ทำให้เธอปราศจากข้อสงสัยอีกต่อไป ตระกูลสีเงินจรัสแสงนั้นจะมีการใช้แซ่หลิว ในช่วงระหว่างยุคมืดเป็นเวลานาน ความรุ่งโรจน์ของตระกูลสีเงินจรัสแสงก็หมดไป อย่างดีที่สุดก็อาจจะเหลือเพียงตระกูลสาขาเพียงแค่หนึ่งหรือสองตระกูลเท่านั้นที่ยังคงรอดมาได้ อย่างไรก็ตามในเวลานี้มีคนจำนวนไม่มากที่ยังจำได้ว่าแซ่หลิวนั้นยังเป็นแซ่ของตระกูลสีเงินจรัสแสง

“ท่านหญิงหงยู่ ข้าอยากจะสอบถามสักเล็กน้อย ข้าได้ยินมาว่าท่านมาจากตระกูลปีกสีเงินใช่หรือไม่”

‘เนี่ยหลี่’พยายามสอบถามด้วยความระมัดระวัง

“ใช่”

หงยู่พยักหน้า

“จริงๆ แล้วตระกูลปีกสีเงินต้องใช้แซ่ ซิคง ไม่ใช่หรือ? “

‘เนี่ยหลี่’ถามย้ำอีกครั้ง

“ถูกต้อง ชื่อเต็มข้าคือ ซิคง หงยู่”

‘หงยู่’กล่าวพร้อมกับพยักหน้า ความสงสัยของเธอต่อ’เนี่ยหลี่’ได้หายไปหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่า’เนี่ยหลี่’นั้นรู้จักตระกลูปีกสีเงินเป็นอย่างดี

‘ซิคง หงยู่’ สวมเกราะสีเงิน ร่างกายของเธอนั้นมีออร่าเปล่งประกายออกมา และดูแข็งแรง มีขาที่ยาวดูเต็มไปด้วยพลัง เนี่ยหลี่มีความรู้สึกว่า เเม้ว่าเธอจะยังเป็นเพียงเด็กหญิงแต่ว่า พลังทางกายภาพของเธอนั้นมีประสิทธิภาพมาก

“โชคดีมาก สถานที่ที่เจ้ามานั้นเป็นดินแดนของตระกูลปีกสีเงิน ในการยึดครองภูเขาลูกนี้นั้น มีตระกูลทั้งหมดสิบสามตระกูล ตระกูลเหล่านี้ล้วนมาจากช่วงยุคมืด พวกเขาต่างมาจากอาณาจักรที่ถูกทำลาย มีตระกูลที่ห้าที่เป็นศัตรูกับตระกูลปีกสีเงินของพวกข้า ถ้าพวกมันทราบว่า เจ้ามาจากตระกูลสีเงินจรัสแสง เจ้ามีหวังได้ตายแน่ๆ”

‘ซิคง หงยู่’กล่าวก่อนที่จะกระโดดเข้าไปในป่า

“เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง”

‘เนี่ยหลี่’กล่าว พร้อมพยักหน้า เขาไม่เคยคิดว่าจะมีผู้รอดชีวิตมากมายจากยุคมืดมาก่อน แต่หากว่า’เนี่ยหลี่’ต้องหลงเข้าไปในดินแดนเขตอื่น เขาก็จะยังคงใช้วิธีการเอาตัวรอดแบบเนียนๆ ได้เช่นเดียวกันกับที่ใช้อยู่ตอนนี้

หลังจากเวลาผ่านไปชั่วครู่ ก็มาถึงพระราชวังอันงดงามที่ชวนดึดดูดสายตาแก่’เนี่ยหลี่’

พระราชวังแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้ต้นไม้ขนาดใหญ่หลายต้น กำแพงพระราชวังสูงถึงหลายสิบเมตร โครงสร้างสูงตระหง่าน สร้างความรู้สึกกดดันมหาศาลแก่ผู้มาเยือนยิ่งนัก

‘เนี่ยหลี่’เดินตามหลังของ ‘ซิคง หงยู่’ และตามเข้าพระราชวังไป หลังจากผ่านทางเดินมากมาย พวกเขาก็เข้าไปถึงส่วนที่เป็นห้องโถงขนาดใหญ่โตกว้างขวางแห่งหนึ่ง

“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ท่านพ่อ!”

เสียงเรียกที่ฟังระรื่นหู แต่บาดเข้าไปในหัวใจ ดังขึ้น

หลังจากที่เข้ามาถึงห้องโถง สิ่งแรกที่’เนี่ยหลี่’เห็นก็คือ โครงสร้างของรูปปั้นขนาดใหญ่สองชิ้น หนึ่งในโครงสร้างของรูปปั้นนั้น มีเด็กที่ท่าทางแข็งแรงกำลังพยายามตกแต่งอยู่ ร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด ซึ่งสามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นรอยที่เกิดจากการโดยแส้ฟาดไปยังผิวหนังของเขา ตามร่างกายของเขาไม่มีส่วนใดเลยที่จะไม่มีร่องรอยการโดนทรมานเช่นนี้

เด็กคนนี้ก็มีปีกคู่หนึ่งที่กลางหลังของเขา อย่างไรก็ตาม ปีกคู่นั้นเป็นสีทองคำนิล ต่างจากสมาชิกคนอื่นๆ ของตระกูลปีกสีเงิน
ยามรักษาการณ์ทั้งสองคนที่สวมเกราะหนัง ยังคงฟาดแส้ของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเด็กคนนั้นจะเจ็บปวดเพียงใด เขายังคงพยายามซ่อนความเจ็บปวดนี้ไม่ให้แสดงออกมาทางใบหน้า และได้แต่กัดฟัน และก้มหน้าทำงานต่อไป แม้ว่าสายตาเขาจะยังคงแฝงด้วยความต่อต้านอยู่ก็ตาม

‘เนี่ยหลี่’มองมาทาง ‘ซิคง หงยู่’ และได้พยายามสอบถามว่า

“ท่านหญิงหงยู่ เขาเป็น…?”

“ฮืม ก็แค่พวกลูกครึ่งไร้ราคาเท่านั้น”

‘ซิคง หงยู่’ บ่นออกมา

“แม่ของมันเป็นคนของตระกูลปีกสีเงิน แต่ว่าดันไปมีความสัมพันธ์กับศัตรู ของเรา ตระกูลมังกรดำ และให้กำเนิดมันมา ภายหลังเรื่องนี้ได้ถูกเปิดเผยออกมา ดังนั้นพ่อแม่ของเจ้านี่ จึงโดนพวกข้า ตามล่า และตัดสินประหาร เหลือไว้เพียงมันที่เป็นสายเลือดลูกครึ่ง”

จบตอน

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments