I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 144 ทดลองยา

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 17356 | 2522 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

‘เนียหลี่’และพรรคพวกถูกจัดสรรให้ไปพักอยู่ในตำหนักบริเวณสวนของตระกูลและมียามคอยรักษาการเฝ้าระวังความปลอดภัยให้อยู่โดยรอบ ดูเผินๆก็เหมือนว่าพวกเขาถูกส่งมาดูแลสวัสดิภาพความปลอดภัยให้กับพวก’เนียหลี่’

แต่เอาจริงๆแล้วน่าจะมาคอยเฝ้าคุมพวกเขาเสียมากกว่า

‘ตู่ซือ’มองมาทาง’เนียหลี่’อย่างดูเป็นกังวลและถามขึ้นว่า

“เนียหลี่,เราโดนให้จัดให้มาอยู่ตรงนี้ ดูท่าแล้วเราน่าจะออกไปยากแล้วล่ะ”

‘เนียหลี่’ยิ้มอ่อนๆแล้วตอบกลับไป

“ตั้งแต่ข้ามีวิธีที่จะเข้ามา ข้าก็เตรียมหนทางที่จะออกไปไว้อยู่แล้วล่ะ”

เอาตามจริงถ้าหากคิดว่าอาณาบริเวณเล็กๆของตระกูลปีกสีเงินนี้จะกักรั้งเขาไว้ได้ล่ะก็ มันก็มโนไปซะล่ะ ฝันไปซะเหอะ! เพราะอย่างน้อยในหัวของ’เนียหลี่’นั้นก็มีเป็นสิบๆวิธีที่ใช้หลบหนีออกไปได้โดยที่ไม่มีใครได้ทันรู้ตัว

แต่อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เขายังหาเอาประโยชน์กับตระกูลปีกสีเงินได้อยู่ อย่างน้อยก็เรื่องที่ตาเฒ่า’ซิคงอวี้’สมัครใจช่วยเขาหาหินศิลาแห่งแสงล่ะ เขานั้นก็จะยังไม่คิดจากไปไหนเสีย จนกว่าเขานั้นจะได้สูบเลือดสูบเนื้อพวกตระกูลปีกสีเงินจนแห้งเหือดหมดตัวเสียก่อน (พระเอกหรือปลิง?)

หลังจากที่’เซียวหนิงเอ๋อ’และคนอื่นๆได้ยินสิ่งที่’เนียหลี่’พูดมา พวกเขาก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจและเกิดความมั่นใจมากขึ้นในสิ่งที่’เนียหลี่’จะกระทำต่อไป

‘เนียหลี่’และกลุ่มยังคงอาศัยอยู่ในตำหนักกลางสวนและมีสมาธิจดจ่อกับการฝึกฝนพลังของพวกเขา ‘เซียวหนิงเอ๋อ’และคนอื่นๆเกือบจะบรรลุเข้าสู่ระดับโกลด์แล้ว ทั้งหมดมาจากเพราะว่าพวกเขาทั้งหลายเพิ่งได้ผ่านเรื่องสุดแสนอันตรายมาไม่นานนี้ (ก็ไอ้ที่วิ่งหนีผีสีชาดปะช้างแมมมอทนั้นแหละ)

พวกเขาก็เลยมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะทำให้ตัวพวกเขาเองนั้นมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากเท่าที่จะทำได้

“เข้าไป”

ทหารยามจำนวนหนึ่งลากต้อนนำเอาเด็กหนุ่มเข้ามา

หัวหน้ายามกล่าวว่า

“คุณชายเหล่ย,พวกเราได้นำตัวไอ้คนทรยศมาให้ท่านแล้วขอรับ”

ร่างของเด็กหนุ่มมีโซ่ตรวนพันมัดซ้อนเอาไว้รอบกายทบกันไว้อยู่หลายรอบ นอกจากนี้การเพาะบ่มพลังวิญญาณของเขายังถูกผนึกเอาไว้ด้วยอักขระที่ถูกเขียนที่บริเวณหน้าท้องอีกด้วย

“มันดูน่าจะแน่นหนาพอแล้วล่ะ, อ่ะนี่ยาทิพย์ข้าให้เจ้าๆไม่ต้องเกรงใจใดๆหรอก”

‘เนียหลี่’กวาดมือขวาส่งยาทิพย์จำนวนหนึ่งไปให้หัวหน้ายามรักษาการณ์

หลังจากที่หัวหน้ายามได้รับยาทิพย์เขาก็สูดดมกลิ่นมันดู ในอึดใจหนึ่ง, ความรู้สึกปลาบปลื้มของเขาก็ถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็นได้บนใบหน้า และเขาพูดขึ้นด้วยท่าทีดูสุภาพว่า

“คุณชายเหล่ยช่างสุภาพอ่อนโยนซะจริงๆ คุณชายเองก็ควรระวังตัวด้วยนะขอรับ, เจ้าคนทรยศนี่เป็นถึงระดับโกลด์3ดาวเชียวนะท่าน”

‘เนียหลี่’หัวเราะและกล่าวไปว่า

“พวกท่านเล่นมัดเขาแน่นหนาขนาดนี้ อีกทั้งยังสะกดความแข็งแกร่งเขาเอาไว้ด้วยอักขระที่หน้าท้องอีก พวกท่านวางใจได้ เชิญพวกท่านไปพักผ่อนกันเถิด”

“ถ้าอย่างงั้นพวกเราก็ขอตัว”

เหล่ายามค่อยๆเดินออกจากตำหนักกลางสวนไปอย่างสุภาพ

แม้ว่าเด็กหนุ่มจะถูกมัดอย่างแน่นหนา แต่บนใบหน้าเขาก็ยังคงรักษาความหยิ่งยโสไม่ยอมอ่อนข้อไว้ หลังจากที่ชำเลืองมอง’เนียหลี่’, เขาก็หันหัวกลับไปไม่ยอมพูดไม่จา ก่อนที่จะถูกนำตัวมาที่นี่เขาได้ยินมาว่า ‘เนียหลี่’จะใช้ตัวเขาเอามาลองยา

‘เนียหลี่’มองพิจารณาดูเด็กหนุ่ม ภายในดวงตาของเขานั้นช่างเต็มไปด้วยห้วงลึกแห่งโทสะ ถ้าได้มีโอกาสเขาคงจะไม่ลังเลแม้สักเพียงนิดที่จะทำลายตระกูลปีกสีเงินให้หมดสิ้นซากไป

“เจ้าชื่ออะไรรึ”

‘เนียหลี่’มองที่เด็กหนุ่มและถามไป

เด็กหนุ่มคนนั้นมองกลับมาที่เนี่ยหลี่ เขาดูงุนงงเล็กๆก่อนที่จะเอ่ยไปอย่างหยิ่งทะนง

“ต้วนเจี้ยน”
(ตัวละครโปรดคนแปล อ๊ากกกกก!!!)

‘เนี่ยหลี่’นั่งลงบนเก้าอี้และพูดขึ้นหลังจากไตร่ตรองอยู่พักใหญ่

“ถ้าข้าให้โอกาสเจ้าได้แก้แค้น เจ้าจะว่ายังไง”

‘ต้วนเจี้ยน’มอง’เนียหลี่’อย่างตกตำลึง(เอ้ย..ตะลึง) เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆ’เนียหลี่’ถึงถามออกมาเช่นนั้น

“ข้าไม่ใช่คนของตระกูลปีกสีเงินและก็ไม่ได้ปลื้มหรือพิศวาสอะไรพวกมัน”

‘เนี่ยหลี่’พูดขึ้นพร้อมทั้งยักไหล่

ภายใต้ดวงตาของ’ต้วนเจี้ยน’ที่ยังดูมึนตึ๊บอยู่ ก็ปรากฏรังสีอันแสนเย็นชาฉายแววขึ้นมาในทันทีทันใด แล้วเขาก็กล่าวขึ้นว่า

“ถ้าท่านตั้งใจจะมอบโอกาสเช่นนั้นให้กับข้า, ข้าขอตั้งสัตย์สาบานโดยใช้เกียรติของท่านพ่อท่านแม่ที่ตายไปแล้วของข้า ว่าข้าต้วนเจี้ยนคนนี้จะขอซื่อสัตย์จงรักภักดีกับท่านไปจนกว่าชีวิตของข้าจะหาไม่ และตัวข้าต้วนเจี้ยนคนนี้จะไม่มีวันทรยศท่านแน่นอน!”

“นี่คือสิ่งที่เจ้าพูดของเจ้าเองนะ”

คิ้วของ’เนียหลี่’ขมวดเข้าหากัน เขาสามารถสัมผัสอย่างเบาบางได้ว่าปีกสีทองเข้มที่หลังขอ’งต้วนเจี้ยน’คู่นั้นบรรจุไปด้วยอัดแน่นไปด้วยพลังอันไม่มีที่สิ้นสุด

“ต่อไปจากนี้เจ้าก็จงติดตามข้าและข้าขอให้หลักประกันว่าข้าจะช่วยให้เจ้าได้แก้แค้นให้กับพ่อแม่ของเจ้าแน่นอน”

หลังจากได้ยิน, ‘ต้วนเจี้ยน’ก็ทิ้งตัวคุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาของเขาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังและความตั้งใจที่ไม่ลดละ ดั่งเหมือนภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เขาหายใจเข้าลึกและกล่าวขึ้น

“ถ้านายท่านให้เวลาข้าสิบปี ข้าจะเอาหัวของไอ้เฒ่าชั่วสารเลวซิคงอวี้มาให้ได้! ถ้านายท่านสามารถช่วยข้าได้ ข้า,ต้วนเจี้ยนคนนี้ขอตั้งสัตย์สาบานว่า ข้าจะรับใช้ท่านเป็นเยี่ยงดั่งเจ้านายตลอดจนกว่าชีวิตของข้าจะสูญสิ้นไป, และขอสาบานที่จะสามิภักดิ์จงรักภักดีแก่ท่านและโดยไม่มีวันทรยศ! ถ้าข้าผิดคำสัตย์ที่ให้ไว้ ขอให้ข้าถูกลงโทษสาปส่งโดยสวรรค์เบื้องบน”

(สาบานไปหลายรอบมาก สองย่อหน้าเลยนะพ่อ)

มีมากมายหลายช่วงจนนับไม่ถ้วนที่’ต้วนเจี้ยน’ผู้อาฆาตคนนี้คิดถึงโหยหาความตาย แต่เขาก็เอาชนะมันมาเสียได้ทุกครั้ง และเขาก็กลายเป็นดั่งเสมือนสัตว์ร้ายที่มีรอยแผล สัตว์ร้ายที่เฝ้ารอคอยวันเวลาที่เหมาะสมที่จะสามารถเอาคืนตระกูลปีกสีเงินให้สาสมได้

‘เนียหลี่’มองที่’ต้วนเจี้ยน’และส่งยาทิพย์ให้ แล้วกล่าวขึ้นว่า

“กินซะ”

‘ต้วนเจี้ยน’รับยามาแล้วกลืนมันลงไปทั้งหมดในคราเดียวโดยไม่ได้มีความลังเลแม้แต่น้อย

“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะวางยาพิษเจ้าหรือไง”

‘เนียหลี่’มองดู’ต้วนเจี้ยน’อย่างนิ่งสงบ

“ถ้าท่านต้องการให้ข้าตาย, มันก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่ข้าจะอยู่รอด ต่อไปภายภาคหน้าชีวิตของข้าขึ้นอยู่กับท่าน ถ้านายท่านต้องการมัน, นายท่านสามารถเอามันไปได้ทุกเมื่อ”

‘ต้วนเจี้ยน’กล่าวและเงยหัวขึ้นอย่างองอาจ

ถึงแม้จะเป็นนักโทษ, แต่’ต้วนเจี้ยน’ก็ยังคงมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้แค้น แม้ว่า’เนียหลี่’จะไม่ได้เอ่ยขึ้นมาว่าเขาสามารถที่จะหยิบยื่นโอกาสการแก้แค้นให้เขาได้, ‘ต้วนเจี้ยน’คนนี้ก็มิเคยคิดจะกล่าวโทษผู้ใด

‘เนียหลี่’เองก็ยังคงจำแววตาผูกพยาบาทและไม่มีความกลัวเกรงที่’ต้วนเจี้ยน’ถ่ายทอดออกมาได้ ถึงแม้ว่าเขาจะถูกเฆี่ยนตีก็ตาม ถ้าคนจำพวกนี้ได้ถูกดูแลและมอบความจริงใจให้ เขาเหล่านั้นก็จะไม่มีวันทรยศผู้มีพระคุณของเขาอย่างแน่นอน

“ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างยิ่งยวด มันจะทำให้เจ้านั้นล้ำหน้ายิ่งกว่าพวกระดับตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้เสียอีก แต่เจ้าจะต้องยอมแลกกับเจ็บปวดและทรมานสุดแสนสาหัส เจ้าอยากจะลองมันดูมั๊ยล่ะ?”

‘เนียหลี่’ก้มหัวลงและถามขึ้นในขณะที่เขามองไปที่’ต้วนเจี้ยน’

“แล้วความเจ็บปวดความทรมานที่ข้าต้องทนเผชิญมาในชีวิตนั้น มันแลดูน้อยนักหรือไง”

“ไอ้แก่ซิคงอวี้สารเลวนั้นต้องการให้ข้าต้องทนทุกข์ทรมาน, แต่มันก็ไม่มีวันได้สมหวังหรอก ความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานน่ะรังมีแต่ยิ่งจะทำให้ตัวข้าแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ”

ถึงแม้ว่าต้วนเจี้ยนจะถูกมัดไว้ด้วยโซ่แน่นหนา และถูกอักขระผนึกปิดกั้นการเพาะบ่มพลังเอาไว้ แต่มันก็ยังคงมีบรรยากาศของความไม่ยอมแพ้วนเวียนอยู่รอบกายเขา (คือเฮียแกเดือดมาก..ว่างั้นแหละ)

จากการสบัดแขนขวา, เข็มจำนวนนึงปรากฏขึ้นบนมือ’เนียหลี่’

“ร่างกายของเจ้าบรรจุอัดแน่นไปด้วยเลือดแห่งสายตระกูลมังกรดำ ข้าสามารถปลุกสายเลือดมังกรดำในตัวเจ้าได้ เพราะเป็นผู้สืบทอดสายมังกร, เมื่อสายเลือดเจ้าถูกปลุกตื่นขึ้นพลังกายของเจ้าจะสามารถบรรลุเข้าสู่ระดับตำนานเป็นอย่างน้อย”

“ที่ท่านพูดมา, ท่านจะบอกว่าท่านสามารถทำให้ข้าเป็นผู้ชำนาญระดับตำนานได้งั้นหรือ”

ร่างกายของเขาสั่นระรัวพร้อมกับมองดู’เนียหลี่’อย่างไม่เชื่อนัก

“ถูกต้องแล้ว พลังแห่งสายเลือดมังกรนั้นไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าจะเป็นระดับต่ำสุดของเผ่ามังกร มันก็ยังมีพลังมากพอที่จะต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานได้ แต่ถึงอย่างนั้น, เจ้าจะต้องเจอกับความทรมานสุดโหดเกินมนุษย์มนาถึงสิบวันก่อน หลังจากที่เจ้าทนผ่านมันมาได้ รากฐานร่างกายเจ้าถึงจะสามารถเข้าถึงพลังความแข็งแกร่งของระดับตำนานได้ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงห่างชั้นกับระดับตำนานที่แท้จริงอยู่ดี ก่อนที่เจ้าจะได้รับพลังอันน่าพอใจนั้นมา เจ้าก็ต้องทนความเจ็บปวดดั่งที่ข้าเล่าไปให้ได้เสียก่อน”

‘เนี่ยหลี่’พูด

“ไม่ว่าจะเป็นสิบวันหรือสิบปี ข้าก็จะทนมัน”

‘ต้วนเจี้ยน’พูดด้วยน้ำเสียงแน่วแน่

“อย่าตัดสินใจไวไปนักเลย”

‘เนี่ยหลี่’พูดในขณะที่มองดู’ต้วนเจี้ยน’ ตัวเขาเองก็ยังคงพิจารณาการตัดสินใจเพื่อที่จะปลุกพลังมังกรให้’ต้วนเจี้ยน’ครั้งนี้อยู่ (ก็มันโหดสัสรัสเซียอ่านะ) แต่เพื่อการได้จัดการกับ’ซิคงอวี้’

‘ต้วนเจี้ยน’ก็ไม่ได้ดูมีความทุ่มเทที่ลดน้อยถอยลงไปแม้แต่น้อยเลย

‘ต้วนเจี้ยน’ที่คุกเข่าลงข้างหน้า’เนียหลี่’ยืนอกผายออกแลดูมั่นคงและกล่าวขึ้น

“เอาเลย”

“กินยาทิพย์นี้เสียก่อน”

มันจะช่วยเจ้าฟื้นฟูพละกำลังให้เจ้า แล้วเราจะเริ่มกันหลังจากที่พละกำลังเจ้ากลับมาแล้ว ‘เนี่ยหลี่’พูดแล้วส่งยาทิพย์จำนวนหนึ่งไปให้’ต้วนเจี้ยน’

‘ต้วนเจี้ยน’อ้าปากและกลืนมันลงไปทั้งหมดในทีเดียวและเริ่มรวมรวบพลัง เขาสามารถรู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าพลังงานในตัวเขาได้ถูกฟื้นฟูขึ้นอย่างมาก

จากนั้น’เนี่ยหลี่’เริ่มใช้เทคนิคการฝังเข็มกับ’ต้วนเจี้ยน’ เขารีบปักเข็มลงไปบนร่างของ’ต้วนเจี้ยน’อย่างต่อเนื่องเกิน30จุดในแนวลากยาวตามร่างกาย แม้ว่ามันจะเจ็บปวดอย่างมากในตอนเริ่มต้น

แต่’ต้วนเจี้ยน’ก็ออกอาการแค่เพียงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อ’เนียหลี่’ฝังเข็มลงไปบนร่างของ’ต้วนเจี้ยน’อีกจนครบทั้ง36จุด หน้าของ’ต้วนเจี้ยน’บิดเบี้ยวแสดงอาการเจ็บปวดขึ้นมาทันที

“อะ…อะ…อะอ๊ากกกกก”

‘ต้วนเจี้ยน’แหกปากปล่อยเสียงแผดร้องแลดูทุกข์เข็ญแสนสาหัสออกมา, มันช่างดูเจ็บปวดทรมานอย่างสุดแสนเสียเหลือเกิน

ร่างกายของเขารู้สึกเหมือนราวกับว่ามันถูกเผาโดยคลื่นความร้อนที่หมุนเวียนวนอยู่ภายใน เลือดมังกรภายในตัวได้ถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว

การแหกปากที่ส่งเสียงออกมาด้วยความเจ็บปวดของ’ต้วนเจี้ยน’นั้นดังจนได้ยินไปไกลเกินบริเวณตำหนักสวนกลางบ้านเสียอีก

เมื่อเหล่ายามที่รักษาการณ์อยู่บริเวณสวนกลางบ้านได้ยินเสียงร้อง พวกเขาช่วยไม่ได้เลยที่จะมองหน้ากัน ความเจ็บปวดที่’ต้วนเจี้ยน’ได้รับและแหกปากออกมาพลอยทำให้พวกเขารู้สึกหลอนไปด้วย พวกเขาทุกคนนั้นล้วนรู้จัก’ต้วนเจี้ยน’ แม้ว่า’ต้วนเจี้ยน’จะเป็นคนทรยศและถูกละทิ้งจากตระกูลอย่างสมบูรณ์ แต่เขาก็ไม่เคยเลยซักครั้งที่จะแหกปากร้องด้วยความเจ็บปวดแบบนี้ แม้ว่าในตอนที่ถูกเฆี่ยนตีทั้งวันทั้งคืนก็ตามที

ความจริงแล้ว, พวกเขานั้นก็รู้สึกเลื่อมใสในตัว’ต้วนเจี้ยน’อยู่เล็กๆ เพราะว่าจะมีใครที่ไหนอีกล่ะที่จะทำได้เหมือนดั่งเช่น’ต้วนเจี้ยน’? ที่สามารถแสดงอาการออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เขานั้นไม่เคยมีความหวาดกลัวใดๆเลย และก็ไม่เคยคิดที่จะยอมอ่อนข้อให้ด้วย แม้ว่าเขาจะตกอยู่ภายใต้การทรมานอันโหดร้ายผิดมนุษย์ดั่งที่เขาได้ประสบมา

แต่ตอนนี้, หลังจากที่’ต้วนเจี้ยน’ถูกส่งเข้าไปได้ไม่นาน ก็กลับมีเสียงร้องครวญที่ดูทุกข์ทรมานแสนสาหัสดังออกมา สิ่งเดียวที่พวกยามรักษาการณ์จะจินตนาการได้คือ ความเจ็บปวดแบบไหนกัน?ที่’ต้วนเจี้ยน’กำลังได้เผชิญอยู่

“ไม่อยากจะเชื่อเล้ย…ว่าคนที่ดูสุขุมเฉกเช่นคุณชายเหล่ยโจว, เมื่อเขาเข้าโหมดจะต้องไปทำการทรมาณใครซักคนจะฉายแววน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้”

ทหารยามรักษาการณ์ทั้งหลายรู้สึกขนหัวลุกตั้ง เช่นเดียวกับจิตใจที่รู้สึกกลัวจนตัวสั่นไปหมด พวกเขามิอาจหาญกล้าที่จะจินตนาการถึงขั้นตอนในการทดลองตัวยาครั้งนี้เลย

ณ สวนในตำหนักหัวหน้าตระกูลปีกสีเงิน

“ท่านหัวหน้าตระกูล”

“นายน้อย’เหล่ยโจว’เริ่มการลองตัวยาแล้วขอรับ ข้าได้ยินมาว่าไอ้’ต้วนเจี้ยน’นั้นเจอกับการทรมาณอย่างหนักเสียด้วย แม้ว่าเราจะเคยเฆี่ยนตีไอ้เด็กนั้นมายาวนานแต่มันก็ไม่เคยร้องออกมาให้ได้ยินซักแอะ! แต่ตอนนี้หลังจากถูกนำตัวเข้าไปให้คุณชายเหล่ยโจวที่ตำหนักกลางสวนของตระกูลเพียงไม่นาน เสียงร้องทุรนทุรายดูทนทุกข์ของไอ้เจ้า’ต้วนเจี้ยน’ มันก็ดังขึ้นจนได้ยินไปไกลตั้งหลายลี้เลยขอรับ!”

‘ซิคงอวี้’คิ้วขมวด, เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่า’เหล่ยโจว’จะมีวิธีการพรรณนี้ ถ้ามันถูกนำมาใช้ในการสอบสวนมันก็น่าจะได้ผลดีเยี่ยมทีเดียว

‘ซิคงฮงหยู๋’มองมาที่’ซิคงอวี้’และถามขึ้น

“ท่านพ่อ, ข้าคิดได้หลังจากที่กลับมา ว่าข้ารู้สึกว่าหลักฐานที่มาของเจ้าเหล่ยโจวนั้น มันช่างดูไม่ชอบมาพากลยังไงไม่รู้”

‘ซิคงอวี้’พยักหน้าแล้วพูด

“มันไม่สำคัญหรอกฮงหยู๋ ว่ามันจะเป็นสมาชิกของตระกูลสีเงินจรัสแสงจริงๆหรือไม่ ตราบใดที่มันสามารถรักษาอาการป่วยของตระกูลปีกสีเงินของเราได้, บุคคลคนนี้ยังจะต้องคงอยู่ อย่างน้อยก็จนกว่าพวกเราจะได้สูตรรักษาอาการจากปากของมันมา พอหลังจากที่เราได้มัน เราก็จะสังหารไอ้เหล่ยโจวซะ!! ”

เจตนามุ่งร้ายบอกใบ้ออกมาจากแววตาของ’ซิคงอวี้’และ’ซิคงฮงหยู๋’ก็พยักหน้าเพื่อรับรู้ถึงมัน

ณ สวนกลางบ้านของตระกูล

“เนียหลี่, นี่นายทำอะไรกับเขาเนี่ย? นายไม่ได้กะจะใช้เขามาทดลองยาจริงๆใช่ไหม?”

‘ตู่ซือ’ถามในขณะที่มองดู’ต้วนเจี้ยน’ผู้ซึ่งตอนนี้นอนม้วนดิ้นทุรนทุรายไปมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายเขาตอนนี้ก็ยังคงถูกมัดไว้ด้วยโซ่ เห็นแล้วมันช่างน่าเวทนาซะจริงๆ

‘เซียวหนิงเอ๋อ’เองไม่อยากจะเชื่อ ว่า’เนียหลี่’จะใช้วิธีที่ผิดมนุษย์เพื่อจัดการกับ’ต้วนเจี้ยน’

“ข้ากำลังสร้างโอกาสให้กับเขาอยู่ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองด้วยว่าเขาจะไปได้สูงเพียงไหน ตอนนี้ที่เขาก็ทำได้เพียงแค่พึ่งโชคชะตาแล้วล่ะ”

‘เนียหลี่’กล่าว

“อย่าไปรบกวนเขา พวกเจ้าเร่งไปฝึกกันต่อเถิด”

ทุกๆคนกลับไปมุมตัวเองและเริ่มฝึกต่อ

มันไม่นานเท่าไหร่นักที่’ซิคงอวี้’นำหินผลึกโลหิตจำนวนมากมาให้กับพวก’เนียหลี่’ ‘เนี่ยหลี่’ได้ทำมันให้บริสุทธิ์ขึ้นแล้วแจกจ่ายแบ่งให้กับทุกๆคน จากนั้นทั้งกลุ่มเริ่มดูดซับพลังวิญญาณจากหินผลึกโลหิตอย่างบ้าคลั่งและเพ่งความสนใจไปที่การเพาะบ่มพลัง

พลังวิญญาณถูกดูดออกมาจากหินผลึกโลหิตอย่างต่อเนื่องและถูกส่งไปยังขอบเขตวิญญาณ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในวันที่สาม, ‘เซียวหนิงเอ๋อ’ผู้ซึ่งฝึกเทคนิคปีกมังกรวายุอัสนีก็ได้เข้าสู่ระดับโกลด์เป็นที่เรียบร้อย ไม่กี่วันหลังจากนั้น, คนอื่นๆก็เริ่มทยอยเข้าใกล้จุดที่จะพัฒนาไปสู่ระดับโกลด์กัน

ทั้งหมดทั้งมวลก็ล้วนเป็นผลลัพธ์จากหินผลึกโลหิตที่พวกเขาได้ทำการดูดซับติดต่อกันมาหลายวัน

แปลโดย: IDeaPaeTonG นะแจ๊ะ

จบตอน

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments