I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 145 ระดับโกลด์

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 15979 | 2522 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ในมุมมองของ’เนี่ยหลี่’

การบรรลุเข้าสู่ระดับบรอนด์และซิลเวอร์นั้นมันช่างเป็นเรื่องที่แสนสุดจะง่ายดาย แต่สำหรับการบรรลุเข้าสู่ระดับโกลด์ มันก็เริ่มเป็นด่านที่มีความยากขึ้นที่จะบรรลุผ่านไปได้ด่านหนึ่งทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่ด่านที่ไม่มีวันผ่านไปได้

ด้วยการเพาะบ่มพลังของ’เซียวหนิงเอ๋อ’และคนอื่นๆ การเพาะบ่มเข้าสู่ระดับโกลด์มันช่างเป็นเรื่องที่ง่ายสุดจะแสนสบาย ทั้งหมดที่พวกเขาต้องการก็แค่สะสมพลังวิญญาณของพวกเขาให้ถึงขั้น แล้วก็บรรลุด่านผ่านขึ้นไป

แต่สำหรับตัว’เนียหลี่’เองนั้น เนื่องด้วยเหตุที่ว่าเขาได้ฝึก [เคล็ดวิถีสวรรค์] งานยากสำหรับการบรรลุด่านเข้าสู่ระดับต่อไป ก็มีเหตุมาจากที่ว่าขอบเขตห่อหุ้มพลังวิญญาณของเขานั้น มันดันหนากว่าชาวบ้าน แม้ว่าความยากมันจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากขอบเขตที่ห่อหุ้มนั้น แต่มันก็ไม่ถือว่ายากสักเท่าไหร่หรอกนะสำหรับตัว’เนียหลี่’

(เรื่องการบรรลุด่านพลังวิญญาณสู่ระดับขั้นที่สูงขึ้น อยากให้คุณผู้อ่านจินตนาการถึง ลูกโป่งที่มีลูกโป่งซ้อนอยู่ด้านในเรื่อยๆหลายๆชั้น พอเป่าลมมากพอจนลูกโป่งชั้นด้านในสุดแตก ลมที่เป่าก็จะมาอยู่ในลูกโป่งชั้นต่อๆไปไล่ไปเรื่อยๆ คนอื่นๆก็แค่เป่าๆเพิ่มลมเข้าไป แต่ของเนียหลี่ ลูกโป่งเขาดันผิวหนากว่าชาวบ้าน)

เขาได้ดูดซับพลังวิญญาณจากหินศิลาโลหิต จากนั้น จึงแปรสภาพมันให้เป็นพลังวิญญาณของเขาเอง ซึ่งทำให้ขอบเขตพลังวิญญาณของเขาขยายขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้เขารู้สึกว่าตัวพองบวมขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้พยายามบรรลุด่านขึ้นสู่ระดับโกลด์ในทันที แต่เขาเลือกที่จะบีบอัดพลังในขอบเขตพลังวิญญาณ เขาบีบอัดมันเข้าไปอยู่ในบริเวณเล็กๆ จากนั้นก็ดูดซับพลังวิญญาณเพิ่มเข้ามาใหม่จากหินศิลาโลหิต

(อย่างกับบีบอัดไฟล์ด้วย Winrar เลยนะพ่อคุณ)

บีบอัดพลังวิญญาณกลุ่มก้อนครั้งที่หนึ่ง … บีบอัดพลังวิญญาณกลุ่มก้อนที่ครั้งสอง… บีบอัดพลังวิญญาณกลุ่มก้อนครั้งที่สาม….

เขาใช้หินศิลาโลหิตเพื่อดูดซับพลังหมดไปเป็นโหลๆ จนพลังวิญญาณในร่างกายถูกบีบอัดเป็นกลุ่มก้อนถึงเจ็ดครั้ง ในที่สุดขอบเขตพลังวิญญาณของเขาก็ถึงขีดจำกัดที่จะรับไว้ได้ไหว

“เรียบร้อย”

เขาเปิดตาขึ้นทันทีทันใดนั้น จากนั้นพลังวิญญาณในขอบเขตพลังวิญญาณของเขา ก็เริ่มกระเพื่อมและก็ไหลบ้าคลั่งเคลื่อนปรูดดดด ไปตามจุดทั้งร้อย ในแนวผ่ากลางของร่างกาย

บูมมมมมมมมมม !!!!!!

มันกระเพื่อมดุจคลื่นคะนองเกรี้ยดกราดมิอาจควบคุม

รัศมีจากกายของ’เนียหลี่’ขยายเพิ่มขึ้นหลายเท่าในทันทีหลังจากการที่เขาบรรลุเข้าสู่ระดับโกลด์1ดาว

(Lv.Up! แต่แดแด๊ดแต่แด้….จิ้นถึงเสียงRaknarokนะท่านผู้อ่าน)

แต่ถึงอย่างไรผู้เชี่ยวชาญขั้นโกลด์ทั่วๆไปก็ยังหาเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ไม่ เนื่องจากทักษะการต่อสู้ที่เขาฝึกฝนมาจนเมฟจิงๆตั้งแต่ชีวิตครั้งก่อน
(Novice High Class ว่างั้น หรือว่าLv.99แล้วจุติมาพ่อคุณ)

เมื่อสัมผัสพลังวิญญาณภายในร่าง, ‘เนียหลี่’เห็นได้ถึงความสะพรั่งในขอบเขตพลังวิญญาณส่วนลึกนั้นค่อยเติบโตขึ้นช้าๆ กลายเป็นกระแสเส้นโครงข่ายเชื่อมต่อกันยาวเยียด กระแสเส้นโครงข่ายนี้ แยกตัวแบ่งออกเป็น 2 ทาง

แล้วจึงเชื่อมตัวของมันเองเข้ากับแพนด้าเขี้ยวอสูร และจิตอสูรเงาพรายตามลำดับ แพนด้าเขี้ยวอสูร และจิตอสูรเงาพรายค่อยๆงอตัวขึ้น ดุจดังผลไม้ ในเครือเถาที่ถูกหล่อเลี้ยงด้วยเถาเครือของตัวมันนั้นเอง (แบบข้างล่างเนี้ย)

‘เนี่ยหลี่’รู้สึกได้ว่าแพนด้าเขี้ยวอสูร และจิตอสูรเงาพรายในตอนนี้ดูรูปลักษณ์เปลี่ยนแปลงแปลกตาไป

รูปแบบการเปลี่ยนรูปลักษณ์ที่ดูแปลกตาทำให้’เนียหลี่’อัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เป็นครั้งแรกที่เขาค้นพบว่า พลังในขอบเขตพลังวิญญาณในตัวเปลี่ยนรูปไปอย่างมากมาย

ดูเหมือนว่าความเข้าใจเกี่ยวกับพลังวิญญาณของเขายังคงไม่สมบูรณ์ซะแล้ว

‘เนียหลี่’รีบซ่อนรัศมีพลังที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา แม้ว่าเขาจะเข้าสู่ระดับโกลด์1ดาวไปแล้ว แต่รัศมีพลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายยังดูเหมือนอยู่แค่ระดับซิลเวอร์เท่านั้น ด้วยสกิลการหลบซ่อนของ’เนี่ยหลี่’ แม้แต่ตัวซิคงอวี้เองก็ไม่สามารถค้นพบความแข็งแกร่งที่แท้จริงของ’เนี่ยหลี่’ได้

เป็นเวลาถึงสิบวัน ที่’เนียหลี่’ใช้ไปในการปรับแต่งรัศมีพลังวิญญาณให้เสร็จแล้วสิ้น และอีกทางหนึ่ง, เสียงแหกปากร้องของ’ต้วนเจี้ยน’ก็ค่อยๆเงียบสงบลงไปอย่างช้าๆ และในที่สุดก็ไม่มีเสียงใดๆมาจากเขาอีก

‘เนียหลี่’และกลุ่มค่อยๆปรากฏตัวขึ้นทีละคนและเข้ามาตรวจดู’ต้วนเจี้ยน’ ที่ตอนนี้นอนแน่นิ่งอยู่อย่างเงียบๆ

“เกิดอะไรขึ้นกับเขา “

‘ตู่ซือ’และคนอื่นๆ รู้สึกว่ารัศมีพลังวิญญาณที่ออกมาจากร่าง’ต้วนเจี้ยน’นั้นค่อยๆอ่อนแอลงไปทีละน้อยๆ

‘เซียวหนิงเอ๋อ’, ‘ลูเปียว’และคนอื่นๆ ดูลนลานกระวนกระวาย

“ต้วนเจี้ยนคงจะไม่ตายแบบนี้ใช่ไหม?”

มีเพียงแค่’เนี่ยหลี่’เท่านั้นยังดูนิ่งอยู่ได้, เขาแลดูนิ่งสงบ และเฝ้าจ้องมอง’ต้วนเจี้ยน’ที่นอนนิ่งอยู่ ถ้า’ต้วนเจี้ยน’รอดพ้นผ่านจากจุดนี้ไปได้ จากนี้ไป มันก็เป็นช่วงโอกาสของเขาที่จะกลายเป็นผู้ชำนาญที่เก่งยวดยิ่ง แต่ถ้าเขารอดพ้นผ่านไปไม่ได้ เขาก็จะ…….

ผ่านไปอีกสักระยะใหญ่ รัศมีพลังวิญญาณที่ออกมาจากร่างของ’ต้วนเจี้ยน’ ก็ดูเหมือนดับสิ้นลงไป

แต่ทันทีทันใดนั้น

“ตรั้มมมมมม ตรั้ยมมมมมม……”

เสียงทุ้มลึกก็ดังแผ่ออกมาจากร่างกายของ’ต้วนเจี้ยน’ เสียงทุ้มลึกนั้นคือเสียงเต้นของหัวใจของเขา เสียงก้องสะท้อนการเต้นของหัวใจ มันดังกังวานมากพอที่ทำให้กำแพงที่อยู่ใกล้พังทลายลง (เอ่อ..หัวใจหรือเสียงกลองศึกครับ กำแพงพังเลยเรอะ)

หลังจากนั้น รัศมีพลังอันดูลึกลับมีอำนาจก็แผดพุ่งออกมาจากร่างของ’ต้วนเจี้ยน’ มันแผ่รัศมีกว้างออกไปโดยรอบอย่างต่อเนื่อง

รัศมีพลังนี้ทำให้’เซียวหนิงเอ๋อ’และคนอื่นๆรู้สึกถึงแรงความกดดันกล้าแกร่ง

“พลังอะไรกันวะเนี่ย!! “

‘เนี่ยหลี่’รู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งแผ่ซ่านไหลวกเวียนภายในร่าง’ต้วนเจี้ยน’ ปีกที่อยู่เบื้องหลังของเขาแผ่ขยายแข็งแกร่งขึ้น เพียงแค่การสะบัดโซ่สีดำที่ล่าม’ต้วนเจี้ยน’เอาไว้ก็แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ

กรรรรรรรรรรรร

‘ต้วนเจี้ยน’แผดเสียงคำรามดุร้าย เสียงมันช่างเหมือนดุจดั่งมังกรจริงๆคำราม

“สัตว์ประหลาดสุดสยองโพดๆ”

‘ลู่เปียว’มองที่’ต้วนเจี้ยน’อย่างหวั่นกลัว เขาไม่เคยคิดว่า’ ต้วนเจี้ยน’ที่ดูแน่นิ่งไปแล้ว อยู่ดีๆก็คดีพลิกกลับมาทรงพลังเวอร์วังอลังการ

บูม! บูม! บูม!

คลื่นรัศมีพลังถูกปลดปล่อยออกมาจากร่าง’ต้วนเจี้ยน’ ร่างกายของเขาค่อยๆลอยขึ้นกลางอากาศและห่อหุ้มไปด้วยแสงสีดำมัวๆ สีหน้าของเขาดูสง่างามสูงศักดิ์ ดูราวกับว่าเขาเป็นผู้สอดส่องคอยดูแลสรรพชีวิต จากนั้นสักพัก เขาก็ลืมตาขึ้นในทันทีทันใด

หลังจากที่เขาได้เห็น’เนี่ยหลี่’และพรรคพวก เขาก็ค่อยๆทิ้งตัวลงสู่พื้น

พลังแห่งสายเลือดมังกรช่างแข็งแกร่งแท้เหลา มันสามารถทำให้พลังกายของ’ต้วนเจี้ยน’เข้าถึงระดับที่น่ากลัว ผู้เชี่ยวชาญต่ำกว่าระดับตำนานมิอาจทำความเสียหายใดๆต่อร่างกายเขาได้อีกต่อไป

รูปร่างลักษณะของ’ต้วนเจี้ยน’ดูตัวสูงกว่า’เนี่ยหลี่’และคนอื่นๆเล็กน้อย เขายังดูใจเด็ดไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับแววตาที่ดูคมเข้มบาดลึก แม้ว่าผมเขาจะดูยุ่งเหยิงไปเสียหน่อย แต่มันก็มิอาจปิดบังนิสัยที่โดดเด่นของเขาได้

แววตาของเขาจากแต่เดิมที่เคยดูขุ่นเคือง ก็ค่อยๆดูกระจ่างใสแหลมคมขึ้น เขาในตอนนี้ดูเหมือนจะได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่แปรเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาดูเปล่งประกาย บอกใบ้ได้ถึงความประหลาดใจในขณะที่จ้องมองที่’เนียหลี่’

บึ้ม!!!

‘ต้วนเจี้ยน’แลนดิ้งลงมายืนเบื้องหน้าเนียหลี่ จากนั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และกล่าวขึ้นอย่างขึงขัง

“ขอบคุณความกรุณาที่นายท่านมีให้แก่ข้า ต่อแต่นี้ไปภายภาคหน้า ชีวิตของต้วนเจี้ยนขึ้นอยู่กับนายท่าน ถ้านายท่านต้องการให้ข้ามีชีวิตอยู่,ข้าก็จะอยู่ ถ้านายท่านต้องการให้ข้ามอดม้วยมรณา ข้าก็จักตายตรงหน้าแด่ท่าน!”

เสียงของ’ต้วนเจี้ยน’ดูมั่นคงแต่สงบนิ่ง มันหาดูหลบซ่อนความลังเลใดๆไม่

จริงๆแล้ว, ด้วยความแข็งแกร่งของ’ต้วนเจี้ยน’ในตอนนี้ หากเขาจะพลิกลิ้นกับคำก็สามารถทำได้ง่ายๆ แถมถ้าเขาอยากจะหลบหนีออกจากบ้านตระกูลปีกสีเงินก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด

แต่อย่างไรนั้น, เขาก็ไม่ได้เลือกที่จะหลบหนี แต่เขากลับก้มศีรษะของเขาลงให้’เนียหลี่’อย่างภาคภูมิใจ (คนจริง! ไม่เสียแรงที่ผู้แปลรักนักรักหนา ‪#‎ทีมต้วนเจี้ยน‬ เยิฟๆ)

ตั้งแต่ช่วงเวลาที่ครอบครัวเขาได้ถูกปลิดชีพไปนั้น, ‘ต้วนเจี้ยน’ก็ชีวิตอยู่ด้วยความเจ็บปวด และการทรมานโดยตระกูลปีกสีเงินมากมายเกินจะจดจำได้หมดสิ้น

จนเป็น’เนี่ยหลี่’คนนี้ที่มาปลดปล่อยเขาจนได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ช่วยชีวิตเขาจากห้วงความทุกข์ทรมาน และในเวลาเดียวกัน, เขายังให้ความหวัง ความหวังที่จะแก้แค้นให้ท่านพ่อท่านแม่ของเขา ความเมตตาของ’เนี่ยหลี่’ประดุจเหมือนมอบชีวิตใหม่ล้ำค่าให้แก่เขา!

“ข้ามองเขาไม่ผิดจริงๆ”

‘เนี่ยหลี่’คิดในใจ ‘ต้วนเจี้ยน’ เป็นคนจำพวกมีความซื่อสัตย์เป็นธรรมชาติสันดาน ตั้งแต่เริ่ม, ‘เนี่ยหลี่’ รู้อยู่แล้วว่าเมื่อ’ต้วนเจี้ยน’สาบาน เค้าก็จะจงรักภักดีต่อเขาจริงๆ

“ความแข็งแกร่งของร่างกายเจ้าตอนนี้ ไม่ได้เป็นรองผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานแต่อย่างใด แต่กระนั้นก็ตาม, เจ้าก็ยังหาใช่คู่ต่อสู้ของระดับตำนานของจริงไม่ ดังนั้นอย่าเพิ่งห้าวปล่อยของโขว์เมฟซะล่ะ!”

‘เนี่ยหลี’มอง’ต้วนเจี้ยน’และกล่าว

“จงมัดโซ่ดำกลับไปใหม่ซะ”

“ขอรับนายท่าน”

‘ต้วนเจี้ยน’พยักหน้า ภายในแววตาของเขา, ความเดือดดาลเปล่งประกายไปทั่ว ตลอดชีวิตของเขาๆต้องเด็ดเอาหัวของไอ้โจรเฒ่าชั่ว’ซิคงอวี้’มาให้ได้! แต่อย่างไร เขาเองก็เข้าใจว่าเขายังคงต้องอดทนรอต่อไปก่อน เขาอดทนรอมาได้ตั้งนาน แค่อดทนรอต่อไปอีกซักหน่อยจะเป็นอะไรเล่า?

‘เนี่ยหลี่’มองดูที่ท้องน้อยของ’ต้วนเจี้ยน’ อักขระบนท้องน้อยนั้นได้แตกสลายไปสิ้นแล้ว เขาจึงรวบรวมร่องรอยพลังวิญญาณที่เหลือด้วยมือทั้งสอง แล้วชี้ไปยังท้องน้อยของ’ต้วนเจี้ยน’ ด้วยผลของอักขระอีกอันบนท้องน้อย จึงเกิดโซ่สีดำอันใหม่มาล่าม’ต้วนเจี้ยน’เอาไว้

แม้ว่า’ต้วนเจี้ยน’จะถูกมัดไว้อย่างแน่นหนาอีกครั้ง แต่ถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น เขาก็ยังสามารถพังทลายพันธนาการออกมาได้อย่างง่ายดาย

มันไม่มีข้อข้องใจใดๆแม้แต่น้อยในการพิสูจน์ความจงรักภักดีของ’ต้วนเจี้ยน’ต่อ’เนียหลี่’

‘เนี่ยหลี่’ได้ลูกสมุนที่มีพร้อมทั้งความดุร้ายและความกล้าเฉกเช่น’ต้วนเจี้ยน’ ไม่แปลกเลยที่’เนียหลี่’จะรู้สึกเปรมปรีดิ์ซะล้นเหลือ นอกเหนือจากความแข็งแรงของร่างกาย ความแข็งแกร่งของ’ต้วนเจี้ยน’เองนั้นก็ใกล้เคียงกับผู้เชี่ยวชาญระดับแบล๊กโกลด์ทีเดียว เหตุเพราะสายเลือดมังกรในตัวเขาถูกปลุกขึ้นมาได้เป็นผลสำเร็จ

ระหว่างที่’เนียหลี่’, ‘ตู่ซือ’, ‘ลูเปียว’และคนอื่นๆสนทนากัน ‘ต้วนเจี้ยน’ก็นั่งอยู่ตรงมุมห้องและฝึกฝนตัวเองไปอย่างเงียบๆ

“เนี่ยหลี่, หลังจากดูดซับพลังจากหินศิลาโลหิตไปมากมาย พวกเราก็บรรลุระดับโกลด์เรียบร้อยแล้ว”

‘ตู่ซือ’พูด ขั้นตอนของการบรรลุด่านมันช่างง่ายดายกว่าที่พวกเขาได้จินตนาการเอาไว้

“ดี, พวกนายจงฝึกฝนต่อและรวบรวมการเพาะบ่มให้แข็งแกร่งขึ้นอีก ข้าจะออกไปด้านนอก เพื่อเดินสังเกตและสำรวจตระกูลปีกสีเงินซะหน่อย เมื่อหินศิลาแห่งแสงอยู่ในมือพวกเรา พวกเราจะชิ่งหนีทันที”

‘เนี่ยหลี่’กล่าว ตอนนี้ทุกอย่างได้เตรียมการเอาไว้ครบเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็เหลือแค่รอหินศิลาแห่งแสงจาก’ซิคงอวี้’

“ได้เลย”

ตู่ซือพยักหน้า

“เนียหลี่, เจ้าต้องการให้ข้าไปกับเจ้าไหม”

‘เซียวหนิงเอ๋อ’ถามขึ้นและมองที่’เนียหลี่’

“ไม่จำเป็นหรอก, ดีที่สุดของเจ้าคืออยู่ที่นี่ ภายนอกมีคนอยู่เยอะมันดูไม่สะดวก “

‘เนี่ยหลี’กล่าวและส่ายหน้า
(คนเยอะ=ไม่สะดวก คนน้อย=?? เด่วๆ..แกจะไปทำอะไรกาน 0.0a)

“ได้ๆ”

‘เซียวหนิงเอ๋อ’พยักหน้า แม้ว่านางจะกังวลเล็กๆ แต่นางก็เลือกที่จะเชื่อฟัง’เนียหลี่’

‘ต้วนเจี้ยน’มองตาม’เนี่ยหลี่’ที่กำลังเดินออกไป เขาเข้าใจถึงสถานะภาพของ’เนี่ยหลี่’ภายในตระกูลปีกสีเงินในตอนนี้ ตราบใดที่นายท่านของมันอยู่ในอาณาเขตของตระกูลปีกสีเงิน มันก็มิต้องกังวลใดๆว่าเจ้านายมันจะได้รับอันตราย

สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดของตระกูลปีกสีเงินถูกปลูกขึ้นโดยซ่อนเอาไว้ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น, พวกเขายังเลี้ยงวิหคอัสนีเอาไว้มากมาย ทำให้อาณาเขต ถูกป้องกันไว้อย่างแน่นหนามาก แม้ว่าจะมีสัตว์อสูรบินข้ามเขตแดนเข้ามาโจมตี พวกเขาก็ยังสามารถขับไล่พวกสัตว์เหล่านั้นออกไปได้ด้วยห่าฝนลูกเกาทัณฑ์

แต่อย่างหนึ่งที่เห็นได้คือ ตระกูลปีกสีเงินก็ไม่ได้อยู่ได้อย่างสะดวกสบายนัก เนื่องจากอาณาเขตของพวกเขายังคงถูกสัตว์อสูรโจมตีอยู่รายวันอย่างต่อเนื่อง

เมื่อ’เนียหลี่’เดินดูไปรอบๆอาณาบริเวณของตระกูลปีกสีเงิน ก็รู้สึกได้ว่ามียามรักษาการณ์ระดับโกลด์คอยเดินตามหลังอยู่ไกลๆจำนวนหนึ่ง แม้ว่า’เนี่ยหลี่’จะไม่ค่อยปลื้มกับมันนัก แต่เขาก็ทำได้แค่ปล่อยๆมันไป ทั้งหมดก็เพราะนี่มันป็นดินแดนของพวกเขานี่หว่า

จากนั้น’เนี่ยหลี่’จึงค่อยๆเดินตะล่อมๆไปทางเหมืองหินศิลาโลหิต

มันมีทาสที่ถูกล่ามโซ่เอาไว้เดินไปเดินมาเต็มอยู่ทั่วทุกบริเวณ พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าที่ชำรุด และยังคงขุดแร่ดิบของหินศิลาโลหิต ถ้าหากพวกเขาทำงานหรือเคลื่อนไหวช้าลง ก็จะมีทหารยามฟาดแส้เฆี่ยนใส่อย่างอำมหิต

บนยอดของหินศิลานั้นปรากฏบุคคลที่สวมใส่เสื้อเกราะแน่นหนาพอดีตัว

อ่อ..มิใช่ใครนั้นก็คือ ‘ซิคงฮงหยู๋’ที่ดูยั่วยวนนั้นเอง นางยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมด้วยแส้ในมือ สายตาเต็มไปด้วยความเยือกเย็น ดูเหมือนนางจะคุ้นเคยกับฉากด้านหน้าของนางนะเนี่ย

ไม่ไกลจากตรงนั้น มีคนหนุ่มรูปร่างสูงเทอะทะสวมใส่เกราะสีทอง ที่มองมาทาง’ซิคงฮงหยู๋’บ้างเป็นครั้งคราว

ทันใดนั้น ชายชราดูอ่อนแอคนนึงก็ล้มลงเบื้องหน้าคนหนุ่มร่างสูงผู้นั้น ดูเหมือนว่ากำลังกายของชายแก่ได้หมดลง ใบหน้าของคนหนุ่มร่างสูงก็เกิดถมึงตึงขึ้นมาในทันที

“ไอ้สวะ , หน้าที่พื้นๆเพียงแค่นี้ก็ทำไม่ได้!”

ชายหนุ่มร่างสูงเหวี่ยงแส้ในมือเขาลงมา มันฟาดลงบนตัวชายแก่อย่างอำมหิต

เพี๊ยยยยย!

รอยเลือดปรากฏขึ้นบนร่างชายแก่เป็นแนวยาว เขาร้องเสียงหลงอย่างเจ็บปวดยิ่ง การใช้กำลังมันบังคับให้เขาต้องลุกขึ้น แต่เมื่อเขาจัดแจงปีนขึ้นไปได้เพียงแค่ครึ่งทาง ด้วยพลังกายที่อ่อนแอ เขาก็ร่วงตกลงมาสู่พื้นอีกครั้ง

” ไอ้สวะไร้ประโยชน์!”

ชายหนุ่มฟาดแส้ลงมาอีกครั้ง

แปลโดย: IDeaPaeTonG นะแจ๊ะ…

จบตอน

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments