I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 159 ฝูงสัตว์อสูรกาย

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 17044 | 2523 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

พวกเขาช่วยกันหาทางทำลายทั้งตระกูลศักดิ์สิทธิ์และแหล่งกบดานของสมาคมทมิฬพร้อมกัน มิเช่นนั้นอาจสร้างความเสียหายให้กับเมือกลอรี่ได้

‘เนี่ยหลีใ’คร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า

“ทำไมเราไม่ลองทิ้งเวลาออกไปอีกเล็กน้อย แล้วหาทางใช้ชื่อของท่านพ่อตารวบรวมยอดฝีมือจากตระกูลต่างๆ มาที่จวนเจ้าเมืองล่ะ บอกว่าฝูงสัตว์อสูรอยู่ในภาวะที่สามารถโจมตีเมืองได้ทุกเมื่อเป็นข้ออ้าง หลังจากที่ทุกคนมารวมกันที่จวน ก็ให้ท่านเอียซิ่วเป็นคนจัดการต่อ ด้วยการใช้ค่ายกลหมื่นอสูรและยอดฝีมือจากตระกูลอื่นคอยช่วย ข้าไม่เชื่อว่าจะมีใครในตระกูลศักดิ์สิทธิ์หลุดรอดไปได้ ระหว่างนั้นท่านเอียเซิ่งสามารถนำกำลังบุกกวาดล้างสมาคมทมิฬพร้อมกับส่งคนไปเก็บกวาดตระกูลศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ยอดฝีมือได้พร้อมกันด้วย”

หลังจากได้ฟังความเห็นของ’เนี่ยหลี่’ ‘เอียเซิ่ง’พยักหน้ากล่าวว่า

“วิธีนี้สามารถดำเนินการได้ แต่คงต้องหารือรายละเอียดกันก่อนลงมือ”

พอเห็นท่าทางของ’เอียเซิ่ง’ ‘เนี่ยหลี่’ก็ทราบว่าเอียงเซิ่งคงมีวิธีการอื่นในใจแล้ว

ทั้งสามหารือกันเป็นเวลานาน ในเมือกลอรี่อันเงียบสงบก็ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง ไม่มีใครรู้ว่าในเวลาอันใกล้จะเกิดเหตุการณ์ใหญ่โตใดในเมืองต่อไป

ก่อนหน้านี้ การที่’เนี่ยหลี่’ปรากฏตัวที่สถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็เพื่อหลอกล่อให้ศัตรูปรากฎตัว แต่กลายเป็นว่าแทนที่คนของตระกูลศักดิ์สิทธิ์จะออกมา’เนี่ยหลี่’กลับพบว่า’เอียฮั่น’ออกมาติดเบ็ดแทน การต่อสู้ระหว่าง’เนี่ยหลี่’และ’เอียฮั่น’ กลับส่งเสริมให้’เนี่ยหลี่’มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธ์ หลังจากนั้น ‘เนี่ยหลี่’กับพวกก็พากันไปหลงอยู่ในดินแดนคุกนรกอยู่หลายวัน ทิ้งไว้เพียงตำนานที่เด็กในสถาบันเล่าสู่กันฟัง

ตอนนี้’เนี่ยหลี่’และพวกกลับมาที่สถาบันอีกครั้ง กลับไม่เข้าห้องเรียน ‘เพียงวิ่ง’เข้าวิ่งออกหอสมุดเท่านั้น

ทันทีที่’เนี่ยหลี่’ปรากฎตัว แน่นอนว่า’ฮูเหยียนหลานเร่อ’ย่อมต้องมาพัวพันมัน ทำให้’เนี่ยหลี่’ได้แต่เตลิดไปไม่เป็นที่

ณ ตระกูลศักดิ์สิทธิ์

นักรบวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งนั่งคุกเข่าข้างหนึ่งต่อหน้าเสิ่นฮองกล่าวรายงานว่า

“ท่านเจ้า ข้าได้รับรายงานมาว่าเนี่ยหลี่ปรากฎตัวอีกครั้ง ยามนี้มันอยู่ที่สถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ใช้ชีวิตอย่างไม่เกรงกลัวอันใด”

“ฮืม…..ข้าจะให้เด็กนั่นเล่นสนุกไปก่อน”

‘เสิ่นฮอง’หัวเราะเสียงเย็น

“ตระกูลวายุเหมันต์ไม่สามารถหาหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าพวกเราแปรพักตร์ไปเข้าร่วมกับสมาคมทมิฬ กลับส่งเด็กเล็กคนหนึ่งออกมาหวังล่อให้พวกเราติดกับ พวกนั้นพยายามทำให้เราเคลื่อนไหว นั่นอาจทำให้พวกมันสามารถรวบรวมหลักฐานได้ แค่เด็กคนเดียวยังไม่อาจทำให้เราเผยพิรุธหรอก พวกมันประเมินตระกูลศักดิ์สิทธิ์ต่ำไปแล้ว กระจายคำสั่งออกไป หากไม่มีกิจธุระจำเป็น ห้ามมิให้คนในตระกูลออกไปก่อเรื่องราวที่ภายนอก ให้ทั้งหมดทำหน้าที่ของตัวเองไป”

“ขอรับนายท่าน”

นักรบวัยกลางคนน้อมรับคำสั่ง

‘เสิ่นฮอง’นั่งหลักตรงพลางเคาะนิ้วกับเท้าแขนเก้าอี้ แม้ว่าตระกูลศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะถูกตระกูลวายุเหมันต์กดดัน พวกเขาก็ยังนับว่ามีพื้นฐานมั่นคงยากจะสั่นคลอนได้ หากตระกูลวายุเหมันต์ต้องการกำจัดตระกูลศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลีกเลี่ยงการถูกแว้งกัด

ตามแผนแล้ว สมาคมทมิฬจะล่อฝูงสัตว์อสูรขนาดมโหฬารมาโจมตี เมื่อถึงเวลานั้นเมือกลอรี่จะล่มสลาย ส่วนตระกูลศักดิ์สิทธิ์จะถอนตัวออกจากเมือง พวกเขาจะกบดานอย่างปลอดภัยในเทือกเขาบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากฝูงสัตว์อสูรจากไปแล้ว พวกเขาจะเข้าไปอาศัยในดินแดนคุกนรกกับสมาคมทมิฬ เสิ่นฮองก็เป็นอีกคนที่รับทราบถึงการคงอยู่ของดินแดนคุกนรก

เนื่องจากตระกูลวายุเหมันต์คอยกดดันตระกูลศักดิ์สิทธิ์ สมาคมทมิฬจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ด้วยการปล่อยฝูงสัตว์อสูรขนาดย่อมเข้าโจมตีเมือง นั่นจะทำให้ตระกูลวายุเหมันต์ไม่มีเวลาจัดการกับตระกูลศักดิ์สิทธิ์ เป็นการเปิดช่องให้ตระกูลศักดิ์สิทธิ์มีเวลาพักหายใจ

ฝูงสัตว์อสูรที่ว่าจะเข้าโจมตีเมืองภายในไม่กี่วันนี้

สิ่งที่’เสิ่นฮอง’ไม่ทราบก็คือตระกูลวายุเหมันต์ค้นพบหลักฐานว่าตระกูลศักดิ์สิทธิ์แปรพักต์ไปเข้าร่วมกับสมาคมทมิฬแล้ว ดังนั้นการที่เนี่ยหลี่ปรากฎตัวในสถาบันกล้วยไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็เพียงเพื่อสร้างภาพให้ตระกูลศักดิ์สิทธิ์ลดความระแวดระวังลง

ยามค่ำมืด

‘เนี่ยหลี่’และพวกยังฝึกพลังกันอยู่ในสวนของที่พัก’เอียจื้ออวิ้น’ ‘เนี่ยหลี่’รู้ดีว่าตระกูลศักดิ์สิทธิ์กับสมาคมทมิฬเต็มไปด้วยยอดฝีมือ โดยเฉพาะสมาคมทมิฬ พวกมันลักลอบดำเนินการมาหลายปี ย่อมต้องมียอดฝีมือในสังกัดไม่น้อย ตอนนี้พลังของพวก’เนี่ยหลี่’ยังนับว่าห่างชั้น

ในยามนี้ ‘เนี่ยหลี่’และพวกฝึกพลังได้เฉลี่ยหนึ่งดาวโกลด์กันแล้ว ผู้ที่ทรงพลังที่สุดในหมู่พวกเขาคือ’ต้วนเจี้ยน’ผู้มีพลังระดับหนึ่งดาวแบล็คโกลด์ ด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขา แม้แต่ชนชั้นแบล็คโกลด์ทั่วไปยังไม่อาจทำอะไรเขาได้

‘เนี่ยหลี่’ยังคงใช้ผลึกโลหิตฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

ยามค่ำคืนเงียบสงบดั่งผืนน้ำไร้ระลอก ‘เอียจื้ออวิ้น’กลับไม่อาจข่มตาลงได้ นางออกจากห้องนอนแล้วเดินไปยังสวนที่’เนี่ยหลี่’กำลังเพ่งสมาธิฝึกพลังอยู่

‘เอียจื้ออวิ้น’เหม่อมองฉากนี้อย่างเงียบงันพลางเริ่มฝันกลางวัน ‘เนี่ยหลี่’นับเป็นตัวตนที่ยากจะเข้าใจ บางครั้งเขากระทำตัวราวกับเด็กไร้เดียงสา บางครากลับสงบ สง่าและลึกล้ำ ยามนี้นางกับเขานับว่ามีความสัมพันธ์ใดกัน? ‘เอียจื้ออวิ้น’รู้สึกสับสนเล็กน้อย

แสงจันทร์สาดส่องต้องผิวกายขาวนวลเนียน หนุนส่งให้นางมีภาพลักษณ์ราวกับภูติพรายอันงดงามใต้แสงจันทร์ ทั้งสูงส่งและงดงาม

เมื่อรู้สึกถึงตัวตนของ’เอียจื้ออวิ้น’ จิตใจเนี่ยหลี่กลับสงบลงอย่างน่าประหลาด

หลายวันถัดมา ณ จวนเจ้าเมือง

‘เอียเซิ่ง’และผู้นำของตระกูลวายุเหมันต์หลายคนร่วมกันวางแผนจัดการกับตระกูลศักดิ์สิทธิ์และสาขาของสมาคมทมิฬ ทันใดนั้นเอง ผู้อาวุโสชั้นแบล็กโกลด์ก็รีบเร่งเข้าพบ

ผู้อาวุโสนั้นรายงานด้วยน้ำเสียงเร่งร้อนว่า

“ท่านเจ้านคร แย่แล้ว พวกเราพบฝูงสัตว์อสูร ยามนี้พวกมันอยู่ไม่ไกลจากเมือง แต่ยังคงเคลื่อนที่มุ่งหน้ามายังเมือกลอรี่ คาดว่าจะมาถึงภายในสองชั่วยามครึ่ง (หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง สองชั่วยามครึ่งเท่ากับห้าชั่วโมง)ขอรับ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผูอาวุโสรายงาน ‘เอียเซิ่ง’พลันลุกขึ้นยืน ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นปั้นยาก ยามนี้พวกมันวางแผนจัดการกับตระกูลศักดิ์สิทธิ์ สมาคมทมิฬกลับชิงลงมือก่อน สัตว์อสูรฝูงนี้ย่อมเป็นสมาคมทมิฬล่อมาแล้ว

“ครานี้มีจำนวนเท่าใด?”

‘เอียเซิ่ง’กล่าวถาม

“พวกมันมากันไม่กี่ล้านตัวส่วนใหญ่เป็นสัตว์อสูรชั้นบรอนซ์ มีเพียงส่วนหนึ่งเป็นชั้นซิลเวอร์และโกลด์ เราตรวจพบสัตว์อสูรชั้นแบล็คโกลด์น้อยมาก และไม่พบสัตว์อสูรชั้นตำนานเลย”

ผู้อาวุโสประสานมือทำความเคารพพลางรายงานเพิ่มเติม

เมื่อได้ยินเช่นนี้’เอียเซิ่ง’ค่อยลอบระบายลมปากอย่างโล่งออก ฝูงสัตว์อสูรขนาดไม่กี่ล้านนี้ เมือกลอรี่ยังมีขีดความสามารถรับมือได้อยู่ โดยเฉพาะเมื่อไม่มีสัตว์อสูรชั้นตำนานมาด้วย สัตว์อสูรชั้นตำนานนับว่าเป็นตัวอันตรายอย่างแท้จริง แต่ไม่ว่ายังไงพวกมันไม่อาจประมาท จะอย่างไรนี่ยังคงเป็นฝูงสัตว์อสูรบุก

“ลั่นระฆังเตือนภัย!! ให้ทั้งเมืองเตรียมพร้อมรับสถานการณ์”

‘เอียเซิ่ง’ประกาศด้วยท่าทีเคร่งขรึม

ตัง!! ตัง!! ตัง!!

ด้วยความรวดเร็ว เสียงระฆังดังก้องไปทั่วนครประกาศการมาของภัยหายนะครั้งนี้

เมื่อได้ยินเสียเตือนภัย ทั้งเมือกลอรี่ถึงกับแตกตื่น เต็มไปด้วยเสียงร้องของเหล่ามวลมนุษย์ที่สามารถได้ยินไปไกลหลายลี้

‘เนี่ยหลี่’พลันลืมตาขึ้นจากการฝึกพลัง เขาย่อมไม่ลืมเสียงระฆังนี้ ในชาติก่อนของเขา สองปีหลังจากนี้ เสียงนี้ทำให้เขาต้องเห็นเมือกลอรี่ล่มสลายไปกับตา

“ตระกูลศักดิ์สิทธิ์!!!”

‘เนี่ยหลี่’พลันมีโทสะพลุ่งขึ้น ความจริงแล้ว ฝูงสัตว์อสูรสมควรมาบุกหลังจากนี้อีกสองปี เขาไม่คิดว่าตระกูลศักดิ์สิทธิ์และสมาคมทมิฬจะไม่ยอมรอเวลา โชคดีที่จวนเจ้าเมืองมีการตั้งค่ายกลหมื่นอสูรไว้แล้ว อย่างน้อยก็นับเป็นไพ่ตายรักษาชีวิตได้ อย่างแย่สุดพวกเขายังสามารถล่าถอยเข้าดินแดนคุกนรกได้ นับว่าสถานการณ์ยังดีกว่าชาติก่อนมากนัก

‘ตู่ซื่อ’กับพวกที่เพิ่งหยุดฝึกลืมตาถามว่า

“เนี่ยหลี่ เกิดอะไรขึ้น? ฝูงสัตว์อสูรเข้าโจมตีเมือง?”

“ถูกแล้ว ฝูงสัตว์อสูรนั่นแหละ”

‘เนี่ยหลี่’พยักหน้ายืนยัน

“ให้ทุกคนรวมตัวกันไว้ แล้วรออยู่ที่นี่กับต้วนเจี้ยน ข้าจะไปเข้าพบเจ้าเมืองก่อน”

ยามนี้ทั้ง’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ และ’เอียจื้ออวิ้น’ต่างก็ปรากฎแววห่วงใยบนใบหน้า

“ข้าจะไปด้วย”

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’และ’เอียจื้ออวิ้น’พูดขึ้นพร้อมกัน

“พวกเจ้ารออยู่ที่นี่คอยฟังข่าว”

‘เนี่ยหลี่’ส่ายหัว เขาหันตัวไปแล้วกลายเป็นเรือนร่างเลอะเลือน พริบตาเดียวก็หายไป มุ่งหน้าไปยังห้องโถงของจวนเจ้าเมือง

ณ ห้องโถงจวนเจ้าเมือง

‘เอียเซิ่ง’ ‘เอียซิ่ว’และคณะกำลังปรึกษาหารือการวางแนวป้องกัน ยอดฝีมือของตระกูลวายุเหมันต์จำนวนมากวิ่งพล่านไปทั่ว ทำหน้าที่ของตน ยอดฝีมือตระกูลต่างๆ รวมตัวกันเป็นกองทัพ ยืนรออยู่นอกห้องโถง

“ท่านเอียซิ่ว ฝูงสัตว์อสูรมีจำนวนเท่าใด?”

เมื่อเห็นว่า’เอียเซิ่ง’ไม่มีเวลาว่าง ‘เนี่ยหลี่’จึงรีบถาม’เอียซิ่ว’ก่อน

“ครานี้มีเพียงไม่กี่ล้าน ตอนนี้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นชั้นแบล็คโกลด์”

‘เอียซิ่ว’บอก

ได้ยินอย่างนั้น ‘เนี่ยหลี่’ต้องลอบระบายลมปากอย่างโล่งใจ แม้ว่าจะมีจำนวนหลักล้านก็ยังสามารถสร้างความเสียหายให้กับเมือกลอรี่ได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถทำลายเมืองอย่างราบคาบได้ ในชาติก่อน ฝูงสัตว์อสูรที่บุกมามีจำนวนนับร้อยล้าน พวกเขาจึงไม่มีกำลังพอจะต้านทานกำลังระดับนี้

“ฝูงสัตว์อสูรครานี้หลักๆ แล้วมีประเภทใดบ้าง?”

“เป็นสัตว์อสูรหิมะวายุ”

‘เอียซิ่ว’ตอบ

“พวกเรายังมีเวลาอีกนานเท่าใด”

‘เนี่ยหลี่’ถาม

“ราวๆ สองชั่วยามครึ่ง การปะทะระลอกแรกจะเกิดขึ้นที่กำแพงเมืองทิศใต้”

‘เอียซิ่ว’ตอบ สายตาคาดหวังให้’เนี่ยหลี่’มีความคิดดีๆ

สองชั่วยามครึ่ง เวลานับว่าเหลือเฟือ ‘เนี่ยหลี่’คิดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดกับ’เอียซิ่ว’ว่า

“ท่านเอียซิ่ว ท่านสามารถจัดคนให้ข้าห้าร้อยหรือไม่ ข้าจะไปป้องกันกำแพงเมืองทิศใต้”

“ห้าร้อยคน?”

‘เอียซิ่ว’ขมวดคิ้วเล็กๆ ก่อนจะพูดว่า

“สถานะของเจ้ายามนี้นับว่าคับขันอันตราย ทั้งตระกูลศักดิ์สิทธิ์และสมาคมทมิฬจับจ้องหาโอกาสกำจัดเจ้าอยู่ หากพวกมันอาศัยช่วงชุลมุนวุ่นวายขณะฝูงสัตว์อสูรโจมตีเมืองแล้วใช้วิธีลอบกัด พวกเรายอมรับความเสียหายเช่นนั้นไม่ได้”

‘เนี่ยหลี่’ยิ้มเบาบางพลางพูดว่า

“ข้ารู้จักวิชาแปลงโฉม ข้าสามารถแปลงโฉมเป็นคนอื่นได้”

“ห้าร้อยคนนี้เจ้าต้องการความสามารถระดับใด?”

“ห้าร้อยคนนี้ เพียงนักสู้ทั่วไปก็พอ”

‘เนี่ยหลี่’ยิ้มตอบ

ได้ยินที่’เนี่ยหลี่’พูด ‘เอียซิ่ว’ก็ต้องงุนงง นักสู้ระดับทั่วไปเพียงห้าร้อยคนจะทำอะไรได้? สัตว์อสูรที่มาคราวนี้มาเป็นล้าน

บางที’เนี่ยหลี่’อาจมีความคิดดีๆ ก็ได้ เมื่อจำนวนคนเพียงนี้ไม่มีผลกระทบต่อสถานการณ์เท่าใด ย่อมไม่เป็นผลเสียหากจะให้’เนี่ยหลี่’ทดลองดู ‘เอียซิ่ว’ใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับ

“ไม่มีปัญหา ข้าจัดสรรนักสู้ระดับทั่วไปให้เจ้าพันคน ทั้งหมดให้ทำตามที่เจ้าสั่ง”

“เช่นนั้นนับว่าดียิ่ง ขอบคุณท่านเอียซิ่ว”

‘เนี่ยหลี่’เหลือบสายตามอง’เอียเซิ่ง’ที่กำลังยุ่งกับการวางแผน เห็นแน่ชัดว่าเขากำลังปวดหัวกับการแก้ปัญหาต่างๆ ดังนั้น’เนี่ยหลี่’ไม่สะดวกกับการทักทาย ได้แต่ล่าถอยไปอย่างเงียบงัน

เวลาไม่กี่ชั่วยามนี้นับว่าเป็นช่วงลำบากของชาวนครอย่างแท้จริง เมือกลอรี่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน หลายครั้งมีฝูงสัตว์อสูรขนาดหลายสิบล้านโจมตีเมือง จนเมือกลอรี่เกือบล่มสลายมาหลายรอบ แม้ว่ายังประคับประคองตัวได้สร้างเมืองขึ้นมาใหม่ แต่ว่าการบุกแต่ละครั้ง ทำให้พวกมันต้องเผชิญปัญหาผู้คนล้มตายจำนวนมากประสบกับความสูญเสียไม่น้อย เรียกว่าในสิบคนตายเสียเจ็ดแปดคน

ทุกคนย่อมไม่คิดอยากให้สัตว์อสูรบุกเมืองอีก บุคคลทั่วไปย่อมไม่อาจรับทราบสถานการณ์ปัจจุบัน เพียงถนนคราคร่ำด้วยทหารสวมเกราะ รีบเร่งไปประจำการที่กำแพง เมื่อพบเห็นฉากนี้ ผู้คนพากันเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน

ในบ้านหลังหนึ่ง

“แม่จ๋า ฝูงสัตว์อสูรจะมาเหรอ?”

เด็กสาวตัวน้อยสวมชุดป่านกระพริบตาใสแจ๋วถามมารดา

หญิงผู้เป็นแม่แม้ยังคงหวาดหวั่นไม่คลาย ได้แต่เค้นรอยยิ้มขึ้นกล่าวปลอบว่า

“เด็กเอย ไม่ต้องห่วง ฝูงสัตว์อสูรจะไม่ได้เข้ามาหรอก บิดาเจ้าจะขับไล่พวกมันไปเอง”

สตรีผู้นั้นมองไปยังความมืดภายนอก สามีของนางเป็นหนึ่งในทหารยามรักษาเมือง นางไม่รู้ว่าจะมีผู้คนล้มตายเท่าใด และสามีของนางจะได้กลับมาบ้านอีกหรือไม่……

 

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments