I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 172 บุญคุณที่ไม่อาจตอบแทนได้หมด

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 22091 | 2524 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“ท่านค้นพบอะไรอย่างนั้นเหรอ?”

‘เนี่ยหลี’ถามออกมา

“แน่นอน ข้าพบหลายสิ่งมากในการเดินทางครั้งนี้ ที่กบดานของสมาคมทมิฬนั้นอยู่ใต้ดินลึกมาก ขนาดของมันกว้างใหญ่ไพศาล ข้าเพียงแค่ตรวจสอบบางส่วนและตามรอยพวกมนุษย์ถ้ำและดาร์คเอลฟ์ ข้าไม่กล้าเข้าไปลึกมากถึงได้ถอนตัวออกมา”

บรรพชนผู้ก่อตั้ง’เอียหยาน’กล่าว สายตาของเขาดูลึกล้ำ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโลกใต้ดินขนาดใหญ่อยู่ภายใต้หุบเขาบรรพชนอันศักดิ์สิทธิ์

“ถ้ำใต้ดิน? มนุษย์ถ้ำและดาร์คเอลฟ์?”

‘เนี่ยหลี’ขมวดคิ้ว มนุษย์ถ้ำเป็นมนุษย์จำพวกหนึ่ง แต่ว่าพวกนั้นอาศัยอยู่ใต้ดินมานานแล้ว พวกมันนั้นตาบอดไม่อาจมองเห็นสิ่งใด มันก็เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป มันมีภาษาเฉพาะเอาไว้สื่อสาร ส่วนพวกดาร์คเอลฟ์ พวกมันก็เป็นมนุษย์สายพันธ์หนึ่งเช่นกัน แต่มีความพิเศษตรงมนตร์ดำและมักจะซ่อนตัวอยู่ในความมืด พวกมันเป็นนักฆ่าโดยธรรมชาติเลยล่ะ

ในคราแรก’เนี่ยหลี’นั้นคิดว่าสมาคมทมิฬนั้นซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา เขาแทบไม่เคยคาดคิดเลยว่ามันจะซ่อนอยู่ในโลกใต้ดิน ภายในใจของ’เนี่ยหลี’ตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของโลกใต้ดิน

‘อย่างแรกเลยต้องจบเรื่องกับพวกตระกูลศักดิ์สิทธิ์และสมาคมทมิฬก่อนที่จะลงไปสำรวจ’

‘เนี่ยหลี’คิดภายในใจ

‘เนี่ยหลี’ยังคงแปลกใจอยู่ว่าจอมมารที่ควบคุมสมาคมทมิฬอยู่เป็นคนเช่นไร เขาเข้าใจว่าเขานั้นอาจได้สู้กับจอมมารคนนั้นในวันใดวันหนึ่ง เพียงแค่ค้นหาจอมมารและกำจัดซะ นั่นก็เป็นอีกวิธีอันชาญฉลาดที่จะทำลายสมาคมทมิฬ

กลับมาที่ลานหน้าบ้านของ’เอียจืออวิ้น’ ‘เนี่ยหลี’และ’เอียจืออวิ้น’ได้เริ่มต้นฝึกฝนอยู่เงียบๆ เพื่อรอการมาถึงศึกอันยิ่งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในสามวันให้หลัง บางครั้งพวกเขาก็ไปเยี่ยม’เอียเซิ่ง’ หลังจากที่’เอียเซิ่ง’ได้รับยาวิเศษไปพอสมควร ร่างกายของเขาก็ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วและกลับไปเต็มเปี่ยมด้วยพลัง

‘เอียเซิ่ง’ไม่ได้ออกไปให้ใครเห็น พวกเขาได้ประกาศออกไปว่า’เอียเซิ่ง’ได้ล้มป่วยลงทำให้ไม่มีใครมาเยี่ยมเยือน

ที่ตระกูลศักดิ์สิทธิ์

‘เสิ่นซิ่ว’เงยหน้าขึ้นมองไปยัง’เสิ่นฮอง’ สายตาของเธอนั้นไม่อาจปกปิดไว้ได้

“พี่ใหญ่ เอียฮั่นส่งข่าวมาว่าเอียเซิ่งถูกพิษของหญ้าลิ้นมังกรและจะดับสิ้นลงในไม่ช้า”

“เจ้าแน่ใจนะว่าเอียฮั่นไม่ได้โกหก? ถ้ามันเป็นสายลับจากเอียเซิ่งล่ะ?”

‘เสิ่นฮอง’เดินกลับไปกลับมาพร้อมขมวดคิ้ว ‘เอียเซิ่ง’ได้รับพิษเข้าไปและใกล้ตาย มันอะไรกัน? ตัวเขานั้นสัมผัสได้ว่า’เอียเซิ่ง’นั้นไม่มีทางตายง่ายแบบนี้แน่นอน!

“เขาไม่น่าจะโกหก เรามีหลักฐานมากมายในมือ เขาต้องไม่กล้าที่จะโกหกพวกเราแน่นอน คืนนั้นที่คฤหาสน์เจ้าเมืองมีแสงออกมา เอียซิ่วนำผู้คนมากมายออกค้นหาเอียฮั่นอยู่หลายชั่วโมง ตอนที่เอียฮั่นหลบหนีเขาได้ฆ่าคนไปมากมาย เขาไม่มีทางที่จะกุเรื่องขึ้นแน่!”

‘เสิ่นซิ่ว’พูดอย่างยกยิ้ม

“ก็ได้ ถ้าเจ้านั่นฆ่าผู้คุ้มกันไปบ้าง มันก็คงจะเป็นเรื่องจริง”

‘เสิ่นฮอง’พยักหน้ารับ ‘เอียเซิ่ง’เป็นพวกจริงใจและใจอ่อน เขาคงไม่กล้าที่จะเอาชีวิตของผู้คุ้มกันมาเล่นตลก ที่’เอียฮั่น’พูดออกมาจะต้องเป็นความจริง

“คฤหาสน์เจ้าเมืองได้แจ้งออกมาว่าเอียเซิ่งล้มป่วย มันคงเป็นการบังหน้าเรื่องที่เอียเซิ่งตายกระทันหันแน่นอน ทั้งหมดก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนแตกตื่น ในขณะที่มีการรวมตัวผู้เยี่ยมยุทธในอีกเก้าวันถัดไปที่คฤหาสน์เจ้าเมือง เจ้าพวกนั้นคงจะไม่สามารถปิดการตายของเอียเซิ่งได้อีกต่อไป!”

“เอียเซิ่ง ข้าและเจ้าได้ต่อสู้กันมาหลายปี ท้ายที่สุดข้าก็เป็นผู้ชนะ!”

‘เสิ่นฮอง’หัวเราะอย่างอำมหิต

“ยินดีด้วยท่านพี่”

‘เสิ่นซิ่ว’ยิ้มอย่างมีเสน่ห์ออกมาและถาม

“การรวมตัวในอีกเก้าวันให้หลัง พวกเราจะเข้าร่วมหรือไม่?”

“พวกเราต้องเข้าร่วมแน่นอน มันต้องเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมมาก เราจะพลาดได้อย่างไร?”

‘เสิ่นฮ่อง’พูดตอบแล้วหัวเราะอย่างเยือกเย็น

หลังจากขบคิดชั่วครู่ ‘เสิ่นฮอง’ได้ถามออกมา

“แล้วเอียฮั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลังจากที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นชั่วครู่ ‘เสิ่นฮ่อง’ก็พูดออกมา

“จัดการหาทางหลบหนีออกไปจากเมืองให้มัน และให้สมาชิกของสมาคมทมิฬรับตัวมันไป!”

เดิมที’เอียฮั่น’ก็ไม่ได้ออกมาให้เห็นตัวนานแล้ว แต่ว่าพรสวรรค์ของเขานั้นอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยม ไม่ต้องกล่าวถึงว่าตอนนี้เขาเป็นศัตรูกับตระกูลวายุเหมันต์เรียบร้อยแล้ว พวกมันจะต้องไม่ไว้ชีวิตมันแน่นอน

“ได้ ข้าจะไปเตรียมการทันที”

‘เสิ่นซิ่ว’พยักหน้าตอบรับ

ที่ลานหน้าที่พักของ’เอียจืออวิ้น’ ‘เนี่ยหลี’นั่งลงบนหินอย่างเงียบสงบเพื่อฝึกพลังวิญญาณ เขามองเห็นภาพของชีวิตก่อนหน้า เขาเกิดกลัวเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง แม้ว่าเขาจะขึ้นสู่จุดสูงสุดของพลัง แต่เขาก็ยังคงเป็นคนที่ผิดพลาดอยู่เช่นเดิม

ญาติพี่น้องและเพื่อนของเขาต่างก็ถูกสังหาร เมื่อเขาขึ้นสู่จุดสูงสุดของพลังจากการฝึกฝน ก็ไม่มีศัตรูคนใดอีกที่เขาไม่อาจโค่นล้ม เวลานั้นเขาต้องการใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขตัวเขาก็ตระหนักได้ว่าตนนั้นอยู่อย่างโดดเดี่ยวไม่มีผู้ใดอยู่เคียงข้างเขาเลยซักคน ในศึกสุดท้ายที่สู้กับจักรพรรดิ์แห่งปราชญ์ ‘เนี่ยหลี’ได้เห็นผู้คนมากมายจากไปและไม่มีพลังพอที่จะหยุดมัน

ท้ายที่สุด เขาได้ตายลง แม้ว่าเขาจะไม่ยินยอมแต่มันก็ทำให้เขาปล่อยวาง

จนกระทั่งเขาตาย เขาก็ยังไม่ทราบถึงจุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่ เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาได้กลับมายังโลกนี้โดยหนังสือจิตอสูรท่องเวลา

‘เนี่ยหลี’ไม่อาจให้ชีวิตนี้เป็นดังเช่นชีวิตก่อนหน้า เขาพยายามระมัดระวังกับทุกเรื่อง เขาเลือกฝึกฝนเทคนิคการบ่มเพาะพลัง ‘พลังเทพวิถีฟ้า’ เพื่อเปลี่ยนอนาคต จนกว่าเขาจะบรรลุถึงจุดสูงสุดของพลังสายนี้

‘เนี่ยหลี’ยังคงดูดกลืนพลังจากผลึกคริสตัลโลหิตอย่างต่อเนื่อง และได้เข้าสู่จุดสูงสุดของระดับสองดาวทองอย่างรวดเร็ว และเตรียมพร้อมเข้าสู่ระดับสามดาวทอง

ผลึกคริสตัลโลหิตเป็นหนึ่งในสิ่งของหายากแม้แต่ระดับตำนานขั้นสูงก็ตาม เพียงแค่ระดับทองธรรมดาไม่อาจกล้าที่จะใช้มันโดยพร่ำเพรื่อ เพราะพวกเขาไม่อาจกลั่นมันออกมาจำนวนมากและรวดเร็วได้ อย่างไรก็ตามเนี่ยหลีนั้นไม่ได้กังวลในจุดนี้

ในขณะที่พลังอันเกรี้ยวกราดแผ่กระจายออกมาจากร่างของ’เนี่ยหลี’ก็บังเกิดพายุหมุนที่ดูน่ากลัวขึ้นรอบกายเขา

ในขณะเดียวกัน ที่อีกฝั่งของสวน ‘ต้วนเจี้ยน’ที่กำลังฝึกฝนอยู่ก็เปิดตาขึ้น หลังจากที่บ่มเบาะพลังโดยเทคนิคและยาต่างๆ จาก’เนี่ยหลี’ พลังของเขาได้ก้าวกระโดดไปสู่อีกขอบเขตในเวลาไม่กี่วัน

‘ต้วนเจี้ยน’ในตอนนี้ได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของพลังระดับสองดาวทองดำแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกาย ต่อให้เป็นระดับตำนานขั้นสูงก็คงต้องปวดหัวแน่นอนหากต้องเผชิญหน้ากับเขา

อย่างไรก็ตาม ‘ต้วนเจี้ยน’สัมผัสได้ถึงพลังความกดดันที่ออกมาจากตัว’เนี่ยหลี’ ในสายตาของเขา ‘เนี่ยหลี’นั้นเป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยความลึกลับ แม้ว่า’เนี่ยหลี’จะอายุน้อยกว่าเขา แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าไม่มีอะไรที่’เนี่ยหลี’ไม่รู้จัก เลือดมังกรภายในตัวของเขาที่ถูกมอบให้โดย’เนี่ยหลี’นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความเข้าใจในความสามารถ

เลือดมังกรภายในตัวเขานั้นบอกให้รู้ว่า’เนี่ยหลี’นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่’ต้วนเจี้ยน’จะจินตนาการได้ นอกจากนั้น’เนี่ยหลี’ทั้งยังมีบุญคุณต่อเขา ตัวเขาจึงมีความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะติดตาม’เนี่ยหลี’ด้วยความซื่อสัตย์ ‘เนี่ยหลี’เปรียบเสมือนดวงตะวันสำหรับตัวเขา เป็นแสงที่ชี้นำทางให้เขา ‘ต้วนเจี้ยน’ไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวหรือสูญเสียเลยที่ต้องมาอยู่ที่นี่

การศึกครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่วันหลังจากนี้ และ’เนี่ยหลี’ก็ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว แม้ว่าเขาจะมีของวิเศษหลายอย่างไว้ป้องกันชีวิตแล้ว ‘เนี่ยหลี’ก็ยังคงไม่กล้าที่จะประเมิณความสามารถของตระกูลศักดิ์สิทธิ์ต่ำเกินไป หลังจากที่ตระกูลได้ผ่านกาลเวลามานับพันปีมันจะต้องมีไพ่ลับมากมายบนมือแน่นอน

‘เนี่ยหลี’ได้เตรียมสิ่งของหลายอย่างเพื่อต้อนรับการศึกครั้งใหญ่

ระหว่างที่’เนี่ยหลี’จดจ่ออยู่กับการฝึก เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคย มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น สัมผัสนั้นก็คือ’เอียจืออวิ้น’

เขาเปิดตาขึ้นมอง’เอียจืออวิ้น’ยืนลังเลอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร
‘เนี่ยหลี’อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้เธอนิดหน่อย

“ต้องการให้ข้าทำอะไรให้ไหม?”

‘เอียจืออวิ้น’มองไปที่’เนี่ยหลี’ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และกล่าวว่า

“เนี่ยหลี ก่อนหน้าที่ข้าพูดจาร้ายกาจกับเจ้าไป เจ้าก็ยังคงช่วยชีวิตพ่อของข้า ข้า…”

“ไม่เป็นไร”

‘เนี่ยหลี’ผายมือและยิ้มอย่างไม่ปิดบัง

“ต่อให้ข้าไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงพูดแบบนั้น แต่ข้าก็รู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน”

ดวงตาของ’เอียจืออวิ้น’เต็มไปด้วยน้ำตา เดิมทีเธอคิดว่า’เนี่ยหลี’จะไม่ยอมอภัยให้กับการกระทำของเธอก่อนหน้านี้ พ่อของเธอเกือบที่จะจากไป และเธอก็ไม่รู้ที่จะทำเช่นไร และบุญคุณของ’เนี่ยหลี’นั้นตัวเธอคงไม่อาจชดใช้ได้หมดในชีวิตนี้

‘เอียจืออวิ้น’กัดฟันแน่นด้วยใบหน้าที่แดงและมองไป’เนี่ยหลี’และกล่าวว่า

“ขอบคุณมากนะเนี่ยหลี”

“อื้ม”

‘เนี่ยหลี’พยักหน้าตอบรับ เขารู้สึกได้ว่าวันนี้’เอียจืออวิ้น’แปลกไป แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

‘เอียจืออวิ้นน’ก้มศีรษะลงและกลับไปยังห้องของเธอ

เมื่อ’เอียจืออวิ้น’เป็นเช่นนี้ ‘เนี่ยหลี’ก็ถึงกับเกาหัว ถ้าเขาไม่เข้าใจ เขาก็จะไม่คิดเรื่องนี้อีก ‘เนี่ยหลี’กลับไปที่ห้องของเขาและปิดประตูลงเพื่อที่จะฝึกฝนพลังเทพวิถีฟ้าต่อ จนในที่สุดเขาก็ก้าวเข้าสู่ระดับสามดาวทองได้อย่างรวดเร็ว

ในคืนที่มืดมิด แสงจันทร์ได้ส่องลงมาที่เตียงของ’เนี่ยหลี’ โดยที่เขานั้นได้ฝึกฝนอย่างเงียบๆโดยการนั่งขัดสมาธิ

ประตูห้องของ’เนี่ยหลี’ได้เปิดออก

‘เนี่ยหลี’ลืมตาขึ้นและพบว่า’เอียจืออวิ้น’กำลังเข้ามา เธอสวมผ้าไหมบางๆ ที่มีลวดลายอันงดลาม ดวงหน้าที่ขาวและละเอียดอ่อนของเธอช่วยทำให้เธอสวยงามมากยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์

ได้เห็นดังนั้นดวงตาของ’เนี่ยหลี’ก็เบิกกว้าง
ในขณะที่’เอียจืออวิ้น’หน้าของ’เอียจืออวิ้น’ปกคลุมไปด้วยสีแดงเป็นชั้นๆ อย่างเอียงอาย เธอลดเสื้อผ้าลง เธอช่างงดงาม ร่างเปลือยเปล่านั้นช่างสวยงามประดุจอัญมณี ส่องประกายด้วยแสงจันทร์ ผมสีม่วงของเธอเปรียบดั่งน้ำตกที่ไหลลงมา แก้มที่ดูประณีต ดวงตาและวงคิ้วที่ดูงดงาม เธอนั้นเปรียบดั่งสิ่งที่บริสุทธิ์ เปรียบเสมือนภูตน้อย ด้วยขาที่ยาวและเพรียวและเท้าดั่งหยกนั้นสามารถทำให้ผู้อื่นถึงกับลุ่มหลงได้

“จืออวิ้น เจ้า…”

ต่อให้เป็น’เนี่ยหลี’ ถ้าได้เห็นภาพแบบนี้เขาก็คงไม่อาจทนได้ เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา คือคนที่เขานั้นรักมากที่สุด แม้ว่าตัวเธอนั้นจะไม่ได้ทรงเสน่ห์ดังเช่นชีวิตก่อนหน้าของเขา แต่เธอก็ยังคงมีความงดงามในแบบของเธออยู่

“เนี่ยหลี หนิงเอ๋อเป็นผู้หญิงที่ดี เจ้าจะทำให้เธอผิดหวังไม่ได้ บุญคุณของเข้าที่มอบให้ข้า ข้าไม่มีทางที่จะชดใช้ได้หมด ข้าทำได้แค่มอบกายข้าให้กับเจ้า”

‘เอียจืออวิ้น’พูดอย่างจริงจัง

“ข้าได้ยินมาจากท่านป้าซุ่ยว่า ผู้ชายมักจะชอบในสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้รับ ถ้าได้ลิ้มลองแล้วเจ้าก็จะไม่สำคัญอีกต่อไป จากวันนี้เป็นต้นไปเราคือเพื่อนกัน!”

‘เอียจืออวิ้น’ก้มหน้าลงและก้าวเดินออกไปข้างหน้าแล้วล้มตัวลงบนเตียงของ’เนี่ยหลี’ ร่างกายของเธอสั่นพอสมควร ดูเหมือนว่าเธอจะตื่นเต้นมาก

เมื่อได้เห็นและได้ยินสิ่งที่’เอียจืออวิ้น’เพิ่งพูดเมื่อครู่ ‘เนี่ยหลี’ก็อดยิ้มไม่ได้ เขาส่ายหน้ากลับไป ทำไมผู้หญิงถึงได้โง่นักนะ ทำไมถึงได้ผลักดันตัวเองมาอยู่ที่นี่และตรงนั้นกัน? ในมุมมองนี้มันไม่ได้เกี่ยวกับสิ่งยึดมั่นหรือว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับการได้ครอบครอง ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะป้าซุ่ยตกหลุมรัก’เอียเซิ่ง’ แต่ว่าตัวเธอนั้นไม่อาจที่จะก้าวออกไปกระทำสิ่งใดๆด้วยความกล้าได้

‘เอียจืออวิ้น’ขดตัวอยู่บนเตียง เธอคิดว่า’เนี่ยหลี’จะต้องเข้ามาอย่างแน่นอน ใจของเธอในตอนนี้นั้นเป็นดั่งเสมือนกระต่ายน้อยที่กำลังอาละวาดและพยายามปะทะเข้ากับภายในอกของเธอ แม้ว่าเธอจะเป็นลูกหลานของตระกูลขุนนาง แต่ก็ไม่เคยรับรู้เรื่องระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาวเลย และด้วยความที่เธอรู้สึกได้ว่าร่างกายของเธอและเขานั้นต่างกัน เดิมทีเธอเป็นคนมั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อมาถึงจุดนี้กับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอก็อดที่จะสั่นไหวไม่ได้

ในใจของ’เนี่ยหลี’นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยนต่อ’เอียจืออวิ้น’ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ เขาก็หย่อนตัวลงข้าง’เอียจืออวิ้น’ มือทั้งสองข้างหนุนหัวและได้พูดพร้อมกับรอยยิ้มว่า

“คนเดียวที่ข้าชอบคือเจ้า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเปลี่ยนเป็นอื่น เกี่ยวกับหนิงเอ๋อข้าคงไม่อาจเปลี่ยนใจได้ อย่างไรก็ตามมันต่างกันสำหรับเจ้า ต่อให้ข้าต้องใช้ทุกสิ่งที่ข้ามี ข้าก็จะไม่ลังเลที่จะทำมัน”

‘เนี่ยหลี’นึกถึงเหตุการณ์ในช่วงชีวิตก่อนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ

‘เอียจืออวิ้น’รออยู่นานพอควรจึงรู้สึกได้ว่าตัวเธอนั้นอยู่ห่างกับเขาโดยมีเพียงแค่ผ้าห่มบางๆ ขวางกั้นอยู่ การนอนกับเขาทำให้เธอรู้สึกโล่งใจ

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของ’เนี่ยหลี’ ‘เอียจืออวิ้น’ก็มีอาการตื่นตกใจและพยายามสงบใจ หยดน้ำตาล่วงหล่นลงมายังแก้มของเธอ เธอไม่อาจเข้าใจได้เลยว่าทำไม’เนี่ยหลี’ถึงได้มีความรู้สึกลึกซึ้งกับเธอถึงขนาดนี้

พวกเขาทั้งสองไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก ในช่วงเวลานั้นพวกเขาได้ยินถึงลมหายใจของอีกฝ่าย พลังรอบตัวของ’เนี่ยหลี’ค่อยๆสร้างความสบายใจและรู้สึกปลอดภัยให้กับเธอ

ในท้ายที่สุด’เอียจืออวิ้น’ก็ค่อยๆ หลับ

‘เนี่ยหลี’หันไปมอง’เอียจืออวิ้น’ที่งดงามอย่างเงียบเชียบด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน ถ้าที่นี่ยังคงดำเนินต่อไป การได้มองเธออย่างเงียบๆและเติบโตขึ้นไปพร้อมกับเธอ มีลูกด้วยกัน แก่เฒ่าไปด้วยกัน มันจะดีขนาดไหนกันนะ?

แต่อย่างไรก็ตาม’เอียจืออวิ้น’ในตอนนี้นั้นยังเด็กอยู่มาก

จบตอน
– แปลโดย Esthe

จบตอน..

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments