I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 173 กระหน่ำด้วยความโกรธแค้น

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 22784 | 2524 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

แสงยามเช้าขึ้นมาจากขอบฟ้า เมื่อ ‘เอี้ยจื่ออวิ้น’ ตื่นขึ้นมา ได้เห็น’เนี่ยหลี่’นั่งขัดสมาธิโดยที่กำลังฝึกฝนอยู่ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอได้กระทำไปเมื่อวาน หน้าเธอก็รู้สึกร้อนผ่าว เมื่อได้มองแผ่นหลังของ’เนี่ยหลี่’ เธอก็ไม่รู้ว่าจะสู้หน้าเขาได้อย่างไรดี

เธอได้สวมใส่เสื้อผ้าอย่างเงียบๆ ขณะที่กำลังสวมอยู่นั้น ‘เนี่ยหลี่’ก็หันมาพอดี พร้อมกับยิ้มและพูดว่า

“ตื่นแล้วหรอ”

‘เอี้ยจื้ออวิ้น’ถึงกับ สตั้นไปสามวิ เธอยังสวมเสื้อผ้ายังไม่เสร็จและมือเธอก็ไม่สามารถปกปิดสายตาของ’เนี่ยหลี่’ไปได้

“เนี่ยหลี่ เจ้าคนโรคจิต!!” (ซึนเดเระอีกแล้วสินะ)

เธอหยิบหมอนแล้วปาใส่’เนี่ยหลี่’

เธอยังสวมเสื้อผ้ายังไม่เสร็จเรียบร้อย ผ้าบางๆที่ปิดบังหน้าอก (Milk นั่นแหละ) เอาไว้ ชวนให้รู้สึกเย้ายวน หน้าท้องที่ขาวสวยและแขนที่ขาวบริสุทธิ์ทำให้เธอดูมีเสน่ห์ยิ่งนัก

‘เนี่ยหลี่’รีบคว้าหมอนมาปิดบังสายตาตัวเองเอาไว้

“ใครกันหละที่มานอนบนเตียงข้าโดยไม่สวมเสื้อผ้าสักชิ้น แล้วยังจะมาเรียกข้าว่าคนโรคจิตอีกรึไง”

“ข้า….”

‘เอี้ยจื่ออวิ้น’ เมื่อคิดได้แล้วก็รู้สึกว่า ตนไม่สามารถสู้หน้าใครได้อีกแล้ว สิ่งที่ทำลงไปเมื่อคืนนั้น เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นรึ

“เนี่ยหลี่ ถ้าเรื่องเมื่อวานนี้แพร่งพรายออกไป ข้าจะไม่พูดกับเจ้าอีก”

ได้เห็นอาการเขินอายของ ‘เอี้ยจื่ออวิ้น’ ‘เนี่ยหลี่’ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา และพูดพร้อมกับยักไหล่

“งั้น ข้าจะพูดถึงเรื่องนั้นอีกก็ได้”

นางสวมเสื้อผ้าแล้วรีบวิ่งออกไปจากห้องของเขาด้วยหน้าที่แดงระเรื่อ ขณะนั้นใจเธอก็คิดเตลิดไปไกลแล้ว เธอคิดว่า’เนี่ยหลี่’จะเป็นเหมือนกันผู้ชายทั่วไป ที่จะทำเพื่อสนองต่อความต้องการของตนจนกว่าจะเบื่อ

ครั้งนี้ เธอยอมเพื่อทดแทนคุณต่อ’เนี่ยหลี่’ แต่ผลลัพธ์กลับตาลปัตร ‘เนี่ยหลี่’เพียงนอนข้างๆเธอตลอดทั้งคืนโดยใช้ผ้าห่มกั้นเอาไว้
‘เอี้ยจื่ออวิ้น’ รู้สึกสงสัยว่า ทำไม’เนี่ยหลี่’ถึงได้ชอบเธอมากขนาดนี้ มากกว่าที่มีให้’เสี่ยวหนิงเอ๋อ’ ทั้งทั้งที่เขามีเวลาอยู่ด้วยกันกับนาง และมีความทรงจำต่างๆด้วยกันมากมาย

เรื่องนี้ทำให้เธอรู้สึกสับสน แต่ ‘เนี่ยหลี่’เป็นคนที่ช่วยชีวิตพ่อของเธอ ถ้าวันหนึ่งเธอถูกขอร้องจากเขา เธอจะตอบแทน’เนี่ยหลี่’อย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ตระกูลมังกรทะยานฟ้า

ตั้งแต่ที่’เสี่ยวหนิงเอ๋อ’กลับมาและพักฟื้นจากการต่อสู้ที่ผ่านมา ร่างกายของเธอดีขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้น ระดับพลังของเธอเองเริ่มปรากฎสัญญาณของการก้าวสู่ระดับต่อไป เธอยอมรับเลยว่า วิชา [ มังกรอัสนีบาต ] ทรงพลังมากจนน่าเหลือเชื่อ พลังของเธอกำลังจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 2 ดาวทอง จนใกล้ไปถึงระดับ 3 ดาวทอง

ทุกๆวัน เขตแดนของจิตวิญญาณดูดกลืนพลังวิญญาณของเธออย่างบ้าคลั่ง ด้วยความเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ

วิชาที่’เนี่ยหลี่’ให้แก่เธอนั้นเกินกว่าจะจิตนาการได้ ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ คิดว่า วิชา [ มังกรอัสนีบาต ] ทำให้เธอถึงระดับทองได้อย่างง่ายดายแม้กระทั้งระดับตำนานอาจจะไม่ยากจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ

นางเหม่อมองไปทางหน้าต่าง และนึกถึงรอยยิ้มที่มั่นใจ’เนี่ยหลี่’ เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แต่ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่กันนะ
คนรับใช้รีบเดินเข้ามาแล้วพูดว่า

“คุณหนู นายท่าน (หรือ หัวหน้าตระกูล นะครับ) เรียกพบเจ้าค่ะ”

“ได้ ข้าจะตามไป”

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ พยักหน้าแล้วเดินไปที่ห้องโถงของตระกูลมังกรทะยานฟ้า

ณ ที่ห้องโถงตระกูลมังกรทะยานฟ้า

‘เซี่ยวอวิ้นเฟิง’และผู้อาวุโสทั้งหกนั่งประจำตำแหน่งของพวกเขา เมื่อเห็น’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’มาถึง ผู้เฒ่าทั้งหกจึงยืนขึ้นและยิ้มรับด้วยความนับถือแก่นาง

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’นึกถึงครั้งที่ถูกเรียกมาครั้งก่อน พวกเขาพยายามบีบให้นางมอบหญ้าทะเลหมอกม่วงออกมาให้ได้ นางจึงทำสีหน้าเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึก นางมองไปทาง ‘เซี่ยวอวิ้นเฟิง’ ผู้มีตำแหน่งสูงสุดและพูดออกมาว่า

“ท่านพ่อ ท่านมีอะไรจะพูดกับลูกหรือค่ะ”

เมื่อผู้เฒ่าทั้งหกได้เห็นกริยาของ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ที่แสดงออกมา พวกเขาก็ได้แต่ยิ้มแบบอายๆออกมาแต่ในใจเต็มไปด้วยความโกรธแต่ก็อดกลั้นไว้ เพราะพวกเขาได้รู้ข่าวที่นางก้าวสู้ระดับ 2 ดาวทองแล้ว ด้วยความเร็วในการพัฒนาขนาดนี้ นางถือเป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ของตระกูลมังกรทะยานฟ้า เนื่องด้วยความสามารถของนางก็สามารถก้าวไปถึงระดับตำนานได้แน่นอนเพียงแต่ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น

เมื่อเป็นดังนั้น พวกเขามีหรือที่จะไม่แสดงความอ่อนน้อมต่อคนที่จะเป็นระดับตำนานในอนาคต ‘เซี่ยวอวิ้นเฟิง’ มองไปทางพวกผู้อาวุโสแล้วจึงมองไปทาง’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ เขาก็รู้สึกโล่งใจ ไม่แปลกใจเลยที่นางจะรู้สึกรำคาญพวกเขากับสิ่งที่พวกเขาได้เคยได้ทำไว้

“หนิงเอ๋อ พวกเราได้ตัดสินใจแล้ว พวกเรามีแต่จะแก่ขึ้นทุกวันๆ ข้าจะยกตำแหน่งหัวหน้าตระกูลแก่เจ้า เจ้าจะ…..”

‘เซี่ยวอวิ้นเฟิง’ พูดแล้วยิ้มออกมา ตระกูลมังกรทะยานฟ้า ไม่เคยมีหัวหน้าตระกูลเป็นผู้หญิงมาก่อน แต่สำหรับ’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’นั้นเป็นข้อยกเว้น ด้วยพรสวรรค์ของนาง ใครจะกล้าว่าร้ายต่อนางได้

“ท่านพ่อ ลูกไม่ได้สนใจตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเลย ลูกเพียงต้องการตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนต่อไปค่ะ”

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’พูดและส่ายหัว นางไม่ได้ต้องการเป็นเหมือนกับพ่อของเธอ ต้องดูแลคนมากมายแม้ว่าจะเจ็บป่วยก็ต้องฝืนลุกขึ้นมาทำต่อไป เธอต้องการเพียงจะอยู่กับคนที่เธอรักและอยู่ด้วยกันตลอดไปอย่างสงบ

“เมื่อเจ้าไม่ต้องการ ก็ลืมมันไปเถอะ”

‘เซี่ยวอวิ้น’เฟิงพยักหน้าตอบ เป็นธรรมดาที่เขาไม่บีบคั้น’เซี่ยงหนิงเอ๋อ’ ในตอนนี้ไม่มีใครในตระกูลสักคนที่จะบังคับนางให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการได้อีกแล้ว

“หลาน หนิงเอ๋อ จากที่พวกเราหารือกัน เจ้ารู้จักกับเด็กอัจฉริยะ เนี่ยหลี่ ที่มาตระกูลบันทึกสวรรค์ใช่หรือไม่ พวกเราได้รู้ถึงอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ของเขาในขณะนี้ แม้กระทั้ง สมาคมนักปรุงยายังต้องเชื่อฟังเขา พวกเราอยากจะให้เจ้าช่วยขอร้องต่อสมาคมนักปรุงยาให้ช่วยเหลือตามคำขอของพวกเรา”

‘เซี่ยวอี้’พูดประจบ

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ มองด้วยความเย็นชาไปที่ ‘เซี่ยวอี้’

“ท่านผู้อาวุโสเซี่ยวอี้ยังจำได้รึไม่ว่าท่านต้องการให้ข้านำหญ้าทะเลหมอกม่วงกลับคืนมาจากเนี่ยหลี่ ตอนนี้ท่านก็ยังจะให้ข้าไปขอร้องกับเขาอีกงั้นรึ”

“นี่มัน……”

‘เซี่ยวอี้’ รู้สึกอับอายอย่างมาก

“ในตอนนั้น ข้ายังไม่รู้เรื่องของฐานะที่แท้จริงของเขา หลังจากที่เจ้ากว้านซื้อหญ้าทะเลหมอกม่วงไปให้เขา ก็ถือว่าเขาได้ติดหนี้บุญคุณเจ้าไปแล้ว”

“บุญคุณงั้นรึ? เขารักษาอาการป่วยของข้า ข้ายังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณเขาเลยสักครั้ง ข้าจะไม่ทำเช่นนั้นเด็ดขาด ถ้าท่านต้องการมันแล้วหล่ะก็ เชิญไปขอร้องด้วยตัวเองเถอะ”

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจน

เห็น ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ไม่เปิดโอกาสเขาแม้แต่จะเถียง ‘เซี่ยวอี้’ รู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจแต่ก็ไม่แสดงมันออกมา เขาทำได้แค่เพียงกล่าวขอโทษและพูดว่า

“หลาน หนิงเอ๋อ เจ้าอย่าเพิ่งโกรธ ข้าเพียงพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเจ้าไม่ต้องการ ก็ลืมมันไปซะเถอะ ถือซะว่าข้าไม่เคยพูดออกมา”

เมื่อสิ้นเสียงของ ‘เซี่ยวอี้’ ก็มีคนบุกเข้ามา

“เซี่ยวหนิงเอ๋อ นังแพศยา เจ้าริอาจไปคบหาชายอื่นลับหลังข้าทำเหมือนกับข้าเป็นไอ้งั่ง! (ใช่นิ รึไม่จริง) เจ้าคิดว่าตระกูลศักดิ์สิทธิ์จะยอมงั้นรึ? วันนี้ข้าต้องการคำอธิบายจากตระกูลมังกรทะยานฟ้า!”

คนที่บุกเข้ามาก็คือ ‘เสิ่นเฟย’

เมื่อ ‘เสิ่นฮอง’ ไม่ได้จัดการกับปัญหาของเขา ‘เสิ่นเฟย’ จึงไม่สามารถอดทนรอได้อีกต่อไป เมื่อได้รู้ว่า ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ กลับมาที่ตระกูลของนาง เขาจึงรีบออกมาหานางทันที ด้วยความเป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้ยินว่าคู่หมั้นของตนไปยุ่งกับชายอื่นมีรึที่เขาจะทนได้

ได้ยินคำพูดของ ‘เสิ่นเฟย’ ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ท่าทีที่เย็นชาออกมา นางมองไปที่ ‘เสิ่นเฟย’ แล้วพูดว่า

“เสิ่นเฟย ที่นี่เป็นห้องโถงของตระกูลมังกรทะยานฟ้าของข้า ถ้าเจ้าไม่อยากจะถูกจัดการ จงไสหัวออกไปซะ!”

“ล้มข้าเนี่ยนะ? ตระกูลมังกรทะยานฟ้า ช่างบังอาจนัก ใครกันที่มาขอร้องตระกูลข้าเรื่องการหมั้นหมาย ตอนนี้พวกเจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วคิดจะยกเลิกการหมั้นงั้นเรอะ? เจ้าอย่าได้หวังซะเถอะ!”

‘เสิ่นเฟย’ ชี้ไปที่ ‘เซี่ยวอวิ้นเฟิง’ ที่นั่งอยู่และด่าทออย่างรุนแรง

“เซี่ยวอวิ้นเฟิง แม้ตระกูลศักดิ์สิทธิ์ของข้าจะถูกตระกูลวายุเหมันต์จับตามองอยู่ แต่การจะจัดการตระกูลของเจ้าให้สิ้นซากนั้น ก็ยังทำได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือเสียอีก”

‘เซี่ยวอวิ้นเฟิง’ มองไปที่ ‘เซี่ยวอี้’ ด้วยความคุ่นเคือง ถ้าไม่ใช่เพราะ ‘เซี่ยวอี้’ ที่บีบบังคับเขา มีหรือที่เขาจะยอมให้ ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ หมั้นหมายกับ ‘เสิ่นเฟย’ และตอนนี้ตระกูลศักดิ์สิทธิ์ยังต้องการจะเอาตัวนางไปแต่งงานกับมัน พวกเจ้าอย่าได้หวัง!

“คุณชาย เสิ่นเฟย ในเรื่องนี้เรายังต้องหารือกันกับคนในตระกูล ข้าจะส่งคนไปบอกท่านหัวหน้าตระกูล เสิ่นฮอง เอง เชิญท่านกลับไปก่อนเถอะ”

‘เซี่ยวอวิ้นเฟิง’ พูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึมพร้อมด้วยรัศมีอันสง่างามที่แพร่ออกมาจากตัวเขา

“หือ! เซี่ยวอวิ้นเฟิง เจ้าจะให้ข้าทำตามที่เจ้าพูดงั้นรึ? วันนี้ต้องพา เซี่ยวหนิงเอ๋อ กลับไปที่ตระกูลศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ ไม่อย่างนั้น ข้าจะทำให้พวกเจ้าชดใช้อย่างสาสม”

‘เสิ่นเฟย’ ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

เมื่อได้ยินคำพูดของ ‘เสิ่นเฟย’ ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ก็กำหมัดทั้งสองข้างแน่น นางโกรธถึงขีดสุดและร่างกายก็สั่นไปด้วยความโกรธ

เพราะการหมั้นหมายบ้าบอนี่ทำให้นางต้องทนทุกข์ทรมานมามากแค่ไหน นางต้องแอบร้องไห้ทุกคืน จนกระทั่ง ‘เนี่ยหลี่’ มาปลดปล่อยเธอจากความขมขื่นนี้ ด้วยความสามารถของเธอในตอนนี้ เธอจะไม่ถูกบีบบังคับจากเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลอีก แต่ถึงกระนั้น ‘เสิ่นเฟย’ ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้เธอหลุดมือไป

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ มองไปที่ ‘เสิ่นเฟย’ แล้วพูดแบบเย็นชาว่า

“เสิ่นเฟย วันนี้ข้าขอท้าสู้กับเจ้า ถ้าเจ้าชนะข้าได้ ข้าจะตามเจ้ากลับไปตระกูลศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเจ้าพ่ายแพ้ อืม..ข้าคงต้องขอโทษเจ้าและขอให้เจ้าออกไปจากชีวิตของข้าซะ”

“ฮาฮ่าๆ ช่างน่าขันสิ้นดี เซี่ยวหนิงเอ๋อ..เจ้าต้องการจะท้าสู้กับข้างั้นรึ? เจ้าบ้าไปแล้วรึยังไง”

‘เสิ่นเฟย’ จ้องไปที่ ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ เมื่อได้เห็นแววตาอันเย็นชาของนาง เขาจึงมองไปทาง ‘เซี่ยวอวิ้นเฟิง’และเหล่าผู้เฒ่า จึงพูดออกมาว่า

“พวกท่านได้ยินที่นางพูดแล้วนะ นางเป็นคนพูดเองด้วย งั้นข้าตกลงรับข้อเสนอ”

ย๊ากกก (คำราม)

‘เสิ่นเฟย’ ร่วมร่างกับ พยัคฆ์โลหิตทมิฬ ทันที หลังจากการต่อสู้กับ ‘เนี่ยหลี่’ ในครั้งนั้นทำให้ความมืดครอบงำจิตใจของเขา ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับใคร เขาจะต้องรวมร่างกับสัตว์อสูรวิญาณก่อนที่จะทำอะไร

ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้เทียบกับตัวเขาในอดีตต่างกันลิบลับ เพราะเขาก้าวเข้าสู่ระดับ 1 ดาวทองเป็นที่เรียบร้อยแล้วและมีพยัคฆ์โลหิตทมิฬเป็นสัตว์อสูรของเขา โดยมั่นใจว่าตอนนี้เขาสามารถเหนือกว่าทั้ง ‘เอี้ยฮั่น’ ‘เนี่ยหลี่’ และคนอื่นๆแล้ว ไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนอีกต่อไป

ยิ่งไม่ต้องพูดถึง’เซี่ยวหนิงเอ๋อ’เลยด้วยซ้ำ (เนื่องจากที่แล้วๆมา มีคนรู้พลังที่แท้จริงของพวกเนี่ยหลี่ก็แค่เฉพาะพวกเขา และภายในตระกูลของแต่ละคน เพื่อความปลอดภัยจึงต้องเก็บเป็นความลับ แน่นอนไอ้พวกตระกลู เสิ่น ไม่มีทางรู้เลย เพียงรู้แต่ว่า พวกเนี่ยหลี่เป็นแค่ระดับซิลเวอร์เท่านั้น)

“วันนี้ข้าจะทำให้ตระกูลของเจ้าชดใช้อย่างสาสม”

เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความอำมหิตและเปลวเพลิงทมิฬที่ลุกโชน

ความร้อนให้ห้องโถงสูงขึ้น

‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ มองไปที่ ‘เสิ่นเฟย’ ที่อยู่ด้านหน้า นางไม่คิดเลยว่า ‘เสิ่นเฟย’ จะอยู่ในระดับ 1 ดาวทองและ พยัคฆ์โลหิตทมิฬ ก็เป็นอสูรวิญญาณที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่อย่างทรงพลังอย่างมาก ไม่แปลกเลยที่ ‘เสิ่นเฟย’ จะตอบรับข้อตกลงนี้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ จึงรีบรวมร่างกับ วิหคอัสนีบาตแห่งสวรรค์ ทันใดนั้น ก็ได้เห็นแสงที่เปล่งประกายเจิดจ้า

พลังที่แผ่ออกมามากมายตรงไปทาง พยัคฆ์โลหิตทมิฬ

เมื่อได้เห็น ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ รวมร่างกับ วิหคอัสนีบาตแห่งสวรรค์ ทั้ง ‘เซี่ยวอวิ้นเฟิง’ ‘เซี่ยวอี้’ และคนอื่นๆ รู้สึกประหลาดใจ สายฟ้าที่เกิดขึ้นภายในห้องโถง ทำให้พวกเขารู้สึกถึงแรงกดดัน ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่คิดเลยว่า ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ จะหลอมรวมจิตกับสัตว์อสูรที่ทรงพลังมากขนาดนี้ (เพราะได้ เทพทรู เนี่ยหลี่ เติมของให้นั่นเอง)

หลังจากที่ ‘เสิ่นเฟย’ รวมร่างกับ พยัคฆ์โลหิตทมิฬ เขาคิดว่าชัยชนะตกเป็นของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า นี่มันเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้ ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ อยู่ในระดับทองและยังมี วิหคอัสนีบาตแห่งสวรรค์ ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้

ตูม!…ตูม!…ตูม!…

สายฟ้าพุ่งกระหน่ำไปที่ร่างของ พยัคฆ์โลหิตทมิฬ ถึงกับส่งผลทำให้ตัวของ ‘เสิ่นเฟย’ มีอาการสั่นเพราะการช็อต

‘เสิ่นเฟย’ เกือบจะหมดสติ เขาได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของ ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ได้ในทันที จากนั้นก็คำรามด้วยความโกรธและปล่อย เพลิงทมิฬ ออกมาจากทางปากของเขา

ขณะที่ เพลิงทมิฬกำลังพุ่งเข้าไปทาง ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ แต่นางกลับท่าทีที่สงบผิดปกติ ด้วยคนอย่าง ‘เสิ่นเฟย’ ถึงแม้ว่าเขาจะมีพรสวรรค์อันโดนเด่น แต่กลับไม่เพียรพยายามเลยแม้แต่น้อย ก็ไม่ต่างอะไรกับคนโง่ นางจึงไม่ยอมแพ้ให้กับคนอย่างเขาเด็ดขาด

ปีกของ วิหคอัสนีบาตแห่งสวรรค์ ก็ถูกสยายปีกออกมา สายฟ้าขนาดใหญ่ถูกยิงออกไปปะทะกับ เพลิงทมิฬ

บูม!!….

ทันทีที่ปะทะกัน สายฟ้าได้ผ่า เพลิงทมิฬ ออกแล้วพุ่งตรงไปหา ‘เสิ่นเฟย’ ไม่มีหยุด

นี่เป็นการพ่ายแพ้ที่ย่อยยับอย่างยิ่ง พลังของ ‘เสิ่นเฟย’ ไม่อาจจะเทียบกับพลังของ ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ได้เลย

ทั้งทั้งที่อยู่ระดับทองเหมือนกัน แม้ ‘เสิ่นเฟย’ คนที่อยู่ในระดับเดียวกันไม่สามารถเทียบได้กับเขา แต่ ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ ก็ยังคงพัฒนาขึ้นไปอีกระดับในระหว่างที่ต่อสู้

ท่ามกลางระเบิดที่ดังสะนั่น ‘เสิ่นเฟย’กระเด็น ปลิวลอยไปชนกับเสาของห้องโถง แรงกระแทกทำให้เกิดรอยแตกที่เสาและเขาก็ร่วงไปกองกับพื้น

หลังจากนั้น ‘เสิ่นเฟย’ ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด สายฟ้าที่ฟาดโดนตัวเขาทำให้เขาบาดเจ็บไม่น้อย

เขาไม่เคยคิดเลยว่า ‘เซี่ยวหนิงเอ๋อ’ จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ จนเหนือกว่าเขาไปเรียบร้อยแล้ว

วิหคอัสนีบาตแห่งสวรรค์ เหมาะสำหรับการต่อสู้ในพื้นที่ที่กว้าง (พื้นที่เปิดโล่งก็นับนะครับ) ซึ่งจะแสดงความสามารถออกมาได้ดีกว่าพื้นที่แคบ แต่ในห้องโถงแบบนี้ ทำให้ยังไม่ได้แสดงพลังออกมาได้เต็มที่ ถึงอย่างนั้น ‘เสิ่นเฟย’ ก็ไม่อาจจะต้านมันได้เลย

จบตอน

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments