I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 196 ทดลอง

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 21177 | 2526 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

เทพวิญญาณอัคคี?

‘เนี่ยหลี่’นึกถึงเทพวิญญาณวายุเหมันต์ที่เคยถูกอัญเชิญมาที่จวนเจ้าเมือง ในตอนนั้น ‘เนี่ยหลี่’สงสัยถึงที่มาของเทพวิญญาณวายุเหมันต์ เทพวิญญาณวายุเหมันต์มีสติปัญญาเพียงขั้นต่ำและทรงพลังมหาศาลจนถึงระดับสุดยอดของชั้นตำนานมาตั้งแต่แรก

‘เนี่ยหลี่’เคยคิดว่าเทพวิญญาณวายุเหมันต์เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดจากโลกอื่น แต่สตรีนางนี้อ้างว่าเป็นเทพวิญญาณ หมายความว่านางเป็นเช่นเดียวกันกับเทพวิญญาณเหมันต์ เป็นสัตว์ประหลาดเหมือนกันงั้นเหรอ?

‘เนี่ยหลี่’ใคร่ครวญ สตรีนางนี้ สมควรเป็นยอดฝีมือที่ไปถึงชั้นชะตาฟ้าแล้ว เมื่อยอดฝีมือชั้นตำนานก้าวเข้าสู่ขอบเขตชะตาฟ้า อายุขัยของคนผู้นั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด

นอกจากในสถานการณ์พิเศษบางประการแล้วจะไม่ตายง่ายๆ เมื่อก้าวเข้าไปถึงขอบเขตระดับนั้น ไม่ว่าจะมียอดฝีมือชั้นตำนานสักกี่คน ก็ไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ให้ยอดฝีมือที่ก้าวเข้าสู่ขอบเขตชะตาฟ้าได้

เหมือนอย่างที่ก่อนยุคทมิฬ ยอดฝีมือชั้นตำนานหลายพันคนรวมตัวกันต่อสู้สัตว์อสูรที่ก้าวเข้าสู้ขอบเขตชะตาฟ้า แต่กลับเป็นเพียงการนำเผ่ามนุษย์เข้าสู้กลียุค

จักรพรรดิคงหมิง, เทพวิญญาณ, ตำราภูติห้วงกาลลี้ลับ…..โลกนี้มีสิ่งลึกลับมากมายเกินไปจริงๆ บางทีโกนี้ยังซับซ้อนยิ่งกว่าที่’เนี่ยหลี่’เคยเจอเมื่อชาติที่แล้วเสียอีก ‘เนี่ยหลี่’รู้สึกได้ว่าสตรีที่อ้างตัวว่าเป็นเทพวิญญาณนั้นไม่เหมือนกับยอดฝีมือชั้นชะตาฟ้าคนอื่นๆ ที่ตนเคยพบมาในชาติก่อน

ภาพร่างของ’ยู่หยาน’มองไปที่’เนี่ยหลี่’ ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางพูดว่า

“พวกเราคือเทพวิญญาณของโลกนี้ สามารถควบคุมสัจธรรมฟ้าดิน ข้าควบคุมสัจธรรมแห่งอัคคี เพียงแค่ร่างของข้าถูกเสียหายหนัก ต้นกำเนิดพลังเทพถูกทำลายกลายเป็นเพียงละอองกระจัดกระจายไปทั่วโลก ทว่า พวกเราเหล่าเทพวิญญาณไม่สามารถถูกทำลายได้ หลังจากผ่านกาลเวลาอันยาวนานหลายหมื่นปี ต้นกำเนิดเทพพลังของข้าก็เริ่มรวมตัวและเริ่มสร้างร่างของข้าขึ้นมาใหม่”

เทพวิญญาณไม่สามารถถูกทำลายได้?

‘เนี่ยหลี่’ขมวดคิ้ว ต่อให้เป็นยอดฝีมือชั้นชะตาฟ้า ก็ไม่สามารถสร้างร่างขึ้นมาใหม่หากร่างถูกทำลายกลายเป็นผุยผงกระจัดกระจายไป ตกลงว่าเทพวิญญาณคืออะไรกันแน่?

พอเห็น’เนี่ยหลี่’ยังไม่เชื่อ ‘ยู่หยาน’ก็พูดต่อว่า

“เทพวิญญาณคือเทพเจ้าของโลกนี้ ทุกๆ โลกหลักจะมีเทพวิญญาณได้เพียงสามสิบหกองค์ แต่โลกชั้นรองจะมีเทพวิญญาณเพียงองค์เดียว พวกเขาถือครองสัจธรรมแห่งฟ้าดิน เทพวิญญาณแต่ละองค์เป็นตัวแทนของสัจธรรมแห่งโลก”

“นับแต่โบราณกาล ในหมู่เทพวิญญาณแห่งโลกหลักทั้งสามสิบหก และโลกรองทั้งเจ็ดสิบสอง หนึ่งในสี่เป็นเทพวิญญาณเผ่ามนุษย์ สองในสี่เป็นเทพวิญญาณสัตว์อสูร และส่วนที่เหลือเป็นเทพวิญาณของสิ่งมีชีวิตประหลาดต่างๆ ทุกองค์ต่างก็เป็นเจ้าผูปกครองโลกนี้” ยู่หยานพูดช้าๆ “เพื่อที่จะพิสูจน์ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงพลังแห่งสัจธรรม เผ่าพันธุ์ต่างๆ ใต้ความปกครองของพวกเราได้เริ่มการฆ่าฟันกัน สุดท้าย เทพวิญญาณหลายองค์ดับสูญ บ้างก็เหมือนกับข้า ที่ต้นกำเนิดพลังเทพถูกทำลายและไม่มีกายหยาบอีกต่อไป”

“เราถือครองพลังสัจธรรมแห่งฟ้าดิน เช่นข้า ข้าควบคุมสัจธรรมแห่งอัคคี มีเพียงเมื่อยามที่ข้าตายอย่างสมบูรณ์และสูนเสียการควบคุมพลังของสัจธรรมแห่งอัคคีไป คนที่สามารถควบคุมสัจธรรมแห่งอัคคีได้ ก็จะกลายเป็นเทพวิญญาณอัคคีคนใหม่”

‘ยู่หยาน’พูด

“เมื่อหลายหมื่นปีก่อน สัตว์อสูรตระกูลต่างๆ พยายามสังหารเทพวิญญาณเผ่ามนุษย์ทั้งหมด เพื่อเข้าควบคุมพลังแห่งสัจธรรมของพวกเรา เพราะเหตุนั้นพวกมันจึงเริ่มโจมตีเผ่ามนุษย์ แม้พวกเราจะรวมพลังกันและโค่นสัตว์อสูรลงได้อย่างเด็ดขาด แต่เราก็ได้รับบาดเจ็บและสูญเสียพลังไปอย่างมหาศาล ต้นกำเนิดพลังที่กระจัดกระจายของข้ารับรู้ได้ว่ามีเทพวิญญาณเกิดใหม่ในเผ่าสัตว์อสูรและพยายามทำลายเผ่ามนุษย์ที่เหลือรอด น่าเสียดายที่ต้นกำเนิดพลังของข้าเพิ่งรวมตัวกันได้เพียงสามส่วน หากมีเทพวิญญาณของเผ่าสัตว์อสูรเกิดใหม่และสามารถควบคุมพลังแห่งสัจธรรมได้ทั้งหมดขึ้นมาล่ะก็ เผ่ามนุษย์ก็คงจะถึงคราวสิ้นเผ่าพันธุ์”

“ต้นกำเนิดพลังเทพของข้าได้แต่อยู่ในน้ำพุทมิฬและรอคอยให้ให้ต้นพลังที่เหลือมารวมตัวกันเท่านั้น หากข้าออกจากที่ไป กลุ่มสัตว์อสูรชั้นตำนานที่ดูแลที่นี่อยู่ก็จะรู้ตัว แล้วออกมาขัดขวางและทำลายกายหยาบของข้า”

พอได้ยินที่’ยู่หยาน’พูด ‘เนี่ยหลี่’ค่อยเข้าใจเรื่องราวของเทพวิญาณอย่างคร่าวๆ เทพวิญญาณสมควรเป็นเส้นทางหนึ่งในการฝึกฝนพลัง ทำให้ผู้ฝึกสามารถก้าวเข้าไปสู่ขอบเขตชะตาฟ้าและหลอมรวมกับสัจธรรมแห่งฟ้าดิน หากฟ้าดินยังคงอยู่ ย่อมยากที่จะทำลายเทพวิญญาณ

หลายหมื่นปีก่อน เผ่ามนุษย์และเผ่าสัตว์อสูรเกิดสงครามครั้งใหญ่ขึ้น ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมหาศาลต่อเทพวิญญาณทั้งสองฝ่าย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใด ทวีปเทพจึงไม่มียอดฝีมือที่ก้าวไปถึงระดับชั้นชะตาฟ้าเลย

‘เนี่ยหลี่’ไม่รู้ว่าวิธีฝึกอันลึกลับนี้ต่างจากปกติอย่างไรจึงช่วยไม่ได้ที่จะสงสัย

‘ยู่หยาน’ทอดสายตาเหมือนกับมองออกไปยังสถานที่อันห่างไกลพลางทอดถอนใจ

“ระหว่างที่รอให้ต้นพลังเทพของข้ามารวมกัน เผ่ามนุษย์ที่เหลือรอดคงถูกล้างเผ่าพันธุ์ไปแล้ว”

เมื่อได้ยินที่’ยู่หยาน’พูด ‘เนี่ยหลี่’ยิ้มบางแล้วพูดว่า

“เผ่ามนุษย์จะไม่มีวันถูกทำลาย เทพียู่หยานไม่ต้องเป็นห่วงไป”

‘ยู่หยาน’ถอนหายใจ ดึงสายตากลับมามอง’เนี่ยหลี่’แล้วพูดว่า

“ในหมู่พวกเราเหล่าเทพวิญญาณเผ่ามนุษย์ มียอดฝีมือที่ถือครองพลังแห่งกาล-อวกาศเรียกว่า เทพวิญญาณกาลอวกาศอยู่ ก่อนที่เทพวิญญาณเผ่ามนุษย์จะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เขาใช้พลังกาลอวกาศเพื่อเข้าไปในสายธารแห่งกาลอวกาศ สร้างละลอกของกาลเวลาที่ส่งผลต่อกัน มันส่งผลต่ออนาคตด้วย นั่นคือการช่วยรักษาเผ่ามนุษย์เอาไว้ ข้าไม่รู้เลยว่าเทพวิญญาณกาลอวกาศได้จัดการไว้อย่างไร ได้แต่รอคอยอย่างเงียบๆ เจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่เข้ามาถึงน้ำพุทมิฬแห่งนี้ได้”

‘เนี่ยหลี่’ขมวดคิ้ว แสดงว่ามีสุดยอดฝีมือที่สามารถควบคุมกาลอวกาศได้จริงๆ และยังสามารถเข้าไปในสายธารแห่งกาลอวกาศได้ด้วย? ‘เนี่ยหลี่’รู้ดีว่าแม้มันจะฝึกตนจนไปถึงจุดสูงสุดของชาติก่อนจนก้าวเข้าไปสู่ขอบเขตที่ยากจะเข้าถึง ก็ยังมีความลึกล้ำอีกหลายอย่างบนโลกที่มันไม่สามารถเข้าใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัจธรรมแห่งกาลอวกาศ

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเทพวิญญาณกาลอวกาศจะเกี่ยวข้องกับตำราภูติห้วงกาลลี้ลับ?

ความจริงแล้ว พลังของ’เนี่ยหลี่’ในชาติก่อนนั้น ก้าวข้ามระดับชะตาฟ้าไปอีก แต่กับสัจธรรมแห่งกาลอวกาศแล้ว ‘เนี่ยหลี่’กลับมีความรู้ความเข้าใจเพียงน้อยนิด สัจธรรมแห่งกาลอวกาศ เป็นหนึ่งในสิ่งที่ลึกลับที่สุดของจักรวาล

‘ยู่หยาน’บอกว่า’เนี่ยหลี่’เป็นคนแรกที่เข้ามาที่น้ำพุทมิฬได้ การกระทำของมันนับว่าเป็นการจัดการของเทพวิญญาณกาลอวกาศหรือไม่? หรือเป็นเพียงผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงกาลอวกาศ?

พอคิดถึงตำราภูติห้วงกาลลี้ลับและจักรพรรดิคงหมิง’เนี่ยหลี่’ยิ่งไม่เข้าใจ

ในชาติก่อน ‘เนี่ยหลี่’เปิดประตูข้ามภพไปยังพิภพอื่นโดยไม่ตั้งใจ ดังนั้นจึงเรียกได้ว่ามีอีกหลายเรื่องที่มันไม่รู้ในโลกนี้

แม้ว่า’เนี่ยหลี่’จะไม่เข้าใจ แต่มันทราบว่ายังมีเรื่องลึกลับอีกมากมายกำลังจะค่อยๆ ถูกเปิดเผยออกมา ‘เนี่ยหลี่’เพียงแต่เห็นส่วนเล็กๆ ของภาพรวมขนาดใหญ่เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ส่วนเล็กๆ นี้ก็ยังเพียงพอจุดประกายความสงสัยหลายๆ เรื่อง ทำให้มันต้องการทราบเรื่องทั้งหมด

เมื่อมันมีพลังจำกัด มันจึงต้องเปิดเผยเรื่องทั้งหมดก่อนก้าวไปยังโลกอื่น

“เช่นนั้น ข้าจะทำอะไรได้บ้าง?”

‘เนี่ยหลี่’ถามพลางมองไปยังยู่หยาน

สิ่งที่ทำให้’ยู่หยาน’สงสัยก็คือ เมื่อเด็กทั่วไปได้ยินสิ่งที่นางพูด หนึ่งคือคนที่ไม่เข้าใจเรื่องราวเลย อีกหนึ่งคือคนที่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร ทั้งสองแบบจะต้องแสดงอาการตื่นตระหนกตกใจบ้าง แต่’เนี่ยหลี่’กลับยังเยือกเย็นอยู่ได้ แม้ว่ามันจะแสดงท่าทางขมวดคิ้วและใคร่ครวญบางสิ่ง แต่กลับไม่แสดงสีหน้าตระหนกตกใจ ราวกับว่าทราบเรื่องทุกอย่างมาก่อนแล้ว

“ข้าต้องการจะส่งต่อพลังแห่งสัจธรรมให้กับเจ้า แต่เจ้าจะสามารถฝึกจนชำนาญได้เท่าใดขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง”

ขณะพยายามข่มอารมณ์ให้เยือกเย็น ‘ยู่หยาน’ก็กล่าวว่า

“ในหมู่เทพวิญญาณทั้งยี่สิบเจ็ดของเผ่ามนุษย์เรา สูญสิ้นอย่างแท้จริงไปแล้วหก ที่เหลือเพียงต้นพลังเทพกระจัดกระจายไป บ้างก็ไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร หากเจ้าสามารถเข้าถึงพลังแห่งสัจธรรมทั้งหกนั้น ย่อมจะสามารถเข้าถึงได้เหมาะสมและง่ายที่สุด”

“โอ้?เช่นนั้นทั้งหกมีสัจธรรมอะไรบ้าง?”

‘เนี่ยหลี่’ถาม ในใจปีติยินดี

แม้ว่าการฝึกพลังของสัจธรรมจะเทียบไม่ได้กับการฝึกวิชา [เทพสวรรค์] แต่การสามารถเข้าถึงวิถีแห่งสัจธรรมได้แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไร

“ข้าต้องการจะฝึกพลังแห่งสัจธรรมที่แข็งแกร่งที่สุด”

‘เนี่ยหลี่’พูดหลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง

‘ยู่หยาน’มอง’เนี่ยหลี่’ด้วยสายตาลึกล้ำก่อนจะพูดว่า

“ยิ่งสัจธรรมที่แข็งแกร่งก็จะยิ่งฝึกยาก ทุกคนสามารถฝึกได้เพียงหนึ่งสัจธรรมต่อหนึ่งคนเท่านั้น อย่ากินคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยวได้ การเลือกฝึกสัจธรรมที่เข้ากันกับตัวเองต่างหากจึงจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”

‘เนี่ยหลี่’คิดตามครู่หนึ่ง ในเมื่อมันยังคงฝึกวิชา [เทพสวรรค์] อยู่แล้ว และเพียงแค่สงสัยวิธีการฝึกพลังแห่งสัจธรรมเท่านั้น ดังนั้นมันจึงยังคงยืนยันคำเดิม

“ข้ายังคงเลือกสัจธรรมที่แข็งแกร่งที่สุด”

‘ยู่หยาน’มอง’เนี่ยหลี่’อย่างรู้สึกว่าช่วยไม่ได้ จะอย่างไรมันยังเด็กเกินไป เดี๋ยวฝึกๆ ไปก็คงจะเจอกำแพงก่อนที่รู้ตัวว่าพลังแห่งสัจธรรมนั้นไม่ได้ฝึกกันง่ายๆ

“ในหมู่เทพวิญญาณทั้งหกที่สูญไปนั้น ที่แข็งแกร่งที่สุดได้แก่ แสงสว่าง ความมืดและความสับสนแรกเริ่ม(อนันตกาล) ทั้งสามนี้ ข้าเห็นการดับสูญของเทพวิญญาณแห่งความสับสนแรกเริ่มด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตามเทพวิญญาณแห่งความสับสนนับว่าเป็นตัวตนที่ประหลาดที่สุด ไม่มีใครรู้ว่าเขามีเล็ดลับการฝึกที่ไม่เปิดเผยหรือไม่ สัจธรรมอีกสามชนิดที่เหลือเป็นสัจธรรมแห่งธาตุ ดิน สายฟ้า และทอง”

“สิ่งสำคัญที่สุดของการฝึกพลังแห่งสัจธรรมคือการสัมผัสได้ถึงสัจธรรมนั้นๆ ข้าจะสอนวิธีที่จะสามารถสัมผัสพลังพวกนั้น” ยู่หยานพูด “อย่างไรก็ตาม การสัมผัสพลังแห่งสัจธรรมนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เจ้าอาจจะต้องปิดด่านฝึกตนเป็นเวลายี่สิบปีกว่าจะสัมผัสร่องรอยของพลังแห่งสัจธรรมได้สักเศษเสี้ยว”

“ปิดด่านฝึกตนยี่สิบปี?”

พอได้ยินอย่างนี้ ‘เนี่ยนหลี่’ได้แต่ยิ้มแห้ง หากปิดด่านฝึกตนยี่สิบปีโดยไม่ออกไปไหนเลย นครเรืองโรจน์ย่อมจะต้องเกิดปัญหาแน่

“ยี่สิบปีนับว่าสั้นมากแล้ว เมื่อสมัยที่เราฝึกกันอย่างน้อยห้าสิบปีถึงหกสิบปี จึงจะสามารถสัมผัสพลังแห่งสัจธรรมได้เล็กน้อย ในตอนนั้นชั่วพริบตาที่สัมผัสพลังแห่งสัจธรรมได้นับเป็นเวลาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่พลังแห่งสัจธรรมในยามนี้นับว่าเบาบางลงมาก”

‘เนี่ยหลี่’ส่ายศีรษะและพูดอย่างมั่นคงว่า

“ข้าทำได้แค่ทดลองดู อย่างมากข้าสามารถอยู่ที่นี่ได้เพียงเดือนเดียว หลังจากนั้นข้าต้องจากไป ข้ายังมีงานอีกมากรอกระทำ”

พอได้ยินที่’เนี่ยหลี่’กล่าว ‘ยู่หยาน’ได้แต่ส่ายศีรษะทอดถอนใจ แม้จะนางจะใช้เวลาทั้งเดือนชี้แนะ ‘เนี่ยหลี่’ก็คงไม่สามารถสัมผัสพลังแห่งสัจธรรมได้ การจะสัมผัสพลังแห่งสัจธรรมให้ได้แม้เพียงเล็กน้อย ก็นับว่าเป็นเรื่องยากลำบากขนาดแทบจะเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อนางอยู่ที่น้ำพุทมิฬมาเป็นเวลานานจนไม่อาจนับได้แล้ว นางก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นทำ

“ก็ได้ เจ้าลองดูเถอะ”

‘ยู่หยาน’พูดอย่างช่วยไม่ได้ นางเป็นเพียงซากวิญญาณที่เสียหายจากการรวมตังของต้นกำเนิดพลังเทพ ดังนั้นนางจึงไม่มีความสามารถที่จะรั้ง’เนี่ยหลี่’ไว้ได้

ในชาติก่อน ‘เนี่ยหลี่’เดินในเส้นทางการฝึกตนอื่น โดยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพลังแห่งสัจธรรมเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม เคล็ดการฝึกพลังนั้นวิชาหนึ่งย่อมสามารถเชื่อมต่อกับวิชาอื่นๆ นับพันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

‘เนี่ยหลี่’ไม่เชื่อว่ามันจำเป็นต้องใช้เวลานานถึงยี่สิบปีในการฝึกพลังแห่งสัจธรรม

จบตอน

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments