I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 199 ร่องรอย

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 21249 | 2527 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“พี่นางฟ้า ท่านคงไม่ได้โกหกข้ารอกนะ?”

‘เนี่ยหลี่’ถาม ขณะถอนใจด้วยความโล่งอกหลังจากที่สัมผัสได้ว่าอุณหภูมิในร่างกายลดลงแล้ว สิ่งที่เจอเมื่อครู่นับว่าน่าหวาดกลัวอย่างมาก แม้แต่มันเองยังหวั่นใจ

“ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม?นี่เป็นขั้นตอนการสัมผัสพลังแห่งสัจธรรมมาตั้งแต่ครั้งโบราณแล้ว”

‘ยู่หยาน’ขมวดคิ้วพูดอย่างไม่ยินดีนัก นางไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับ’เนี่ยหลี่’ก่อนหน้านี้ ‘เนี่ยหลี่’สัมผัสพลังล้มเหลวหรือ? แต่ว่าแม้จะล้มเหลวแต่ปกติแล้วพลังแห่งสัจธรรมจะไม่สามารถทำอันตรายร่างกายได้ถึงขนาดตัวร้อนจนต้งกระโดดลงบ่อน้ำเพื่อดับร้อนเช่นนี้?

“ก็ได้ ก็ได้”

‘เนี่ยหลี่’โบกมือแล้วพูดเสียงต่ำว่า

“ท่านบอกว่าร่องรอยแสงเล็กๆ ในความมืด”

“ถูกแล้ว”

‘ยู่หยาน’พยักหน้าและพูดว่า

“มันควรจะเป็นเช่นนั้นหากเจ้าสามารถสัมผัสพลังของสัจธรรมแห่งแสงได้”

“ท่านพูดว่าร่องรอย”

‘เนี่ยหลี่’พูดอย่างหดหู่

“ใช่ ร่องรอย”

‘ยู่หยาน’พูด วิธีการสัมผัสพลังแห่งสัจธรรมสมควรไม่ผิดพลาด ในตอนที่นางเริ่มฝึก นางต้องฝึกนานหลายสิบปีกว่าจะสัมผัสพลังของสัจธรรมแห่งไฟได้

“มันจะเป็นร่องรอยได้อย่างไร?ข้ารู้สึกราวกับดวงอาทิตย์ตกใส่ จนตาแทบบอด ความอบอุ่นอันใด? ตัวข้าร้อนแทบสุก นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว การฝึกพลังแห่งสัจธรรมของท่านอันตรายเกินไป”

‘เนี่ยหลี่’พูด ความหวาดกลัวยังไม่หายไปจากใจ ความรู้สึกที่ถูกดวงอาทิตย์เผาจนเกือบสุกก่อนหน้านี้

เมื่อมอง’เนี่ยหลี่’ ‘ยู่หยาน’ทำสีหน้าแปลกประหลาดระคนตกใจ ว่าเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร? เด็กนี่เป็นสัตว์ประหลาดหรือ?

หลายต่อหลายคนต้องใช้เวลาฝึกไม่ต่ำกว่าหลายสิบปีเพื่อสัมผัสเพียงแค่ร่องรอยสายใยพลังเล็กๆ ของพลังแห่งสัจธรรม และนั่นก็นับว่าเก่งมากแล้ว แม้แต่คนที่มีพรสวรรค์ที่ฟ้าประทานมายังต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะสัมผัสพลังได้เล็กน้อยด้วยซ้ำ

แต่’เนี่ยหลี่’กลับสามารถสัมผัสพลังได้ตั้งแต่การลองฝึกครั้งแรก ยิ่งไปกว่านั้น ที่สัมผัสได้กลับไม่ใช่เพียงเส้นสายใยพลังเล็กๆ แต่กลับเป็นพลังที่เจิดจ้าเยี่ยงดวงอาทิตย์

ว่ากันว่าเมื่อเทพวิญญาณแห่งแสงบ่มเพาะพลังไปจนถึงจขีดสุด จะมีความสามารถในการควบคุมพลังแห่งแสงที่เจิดจ้าทรงอำนาจราวกับดวงอาทิตย์ ยามเมื่อสัมผัสพลังแห่งสัจธรรม ก็จะเหมือนกับสัมผัสดวงอาทิตย์

แต่’เนี่ยหลี่’เพิ่งจะเริ่มฝึกพลังแห่งสัจธรรมเท่านั้

‘ยู่หยาน’รู้สึกว่าสมองของตนประมวลผลไม่ทันเรื่องที่ได้รู้

‘เนี่ยหลี่’หวนคิดถึงเรื่องที่เกิดก่อนหน้า แน่นอนว่ามันอาจจะอันตรายไปหน่อย แต่ก็ได้รู้ว่าพลังแห่งสัจธรรมนั้นทรงอำนาจเพียงใด กลายเป็นว่าโลกใบนี้ล้วนแต่เกิดขึ้นจากพลังแห่งสัจธรรม พลังวิญญาณในตัวมนุษย์จึงเป็นพื้นฐานของวิชาบ่มเพาะพลัง

‘เนี่ยหลี่’กลับไปที่บ่อน้ำพุทมิฬและลงไปแช่ในบ่ออีกครั้ง ค่อยๆ ทำความเข้าใจโครงสร้างพลังแห่งสัจธรรมอีกครั้ง คราวนี้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงลายอาคมอันลึกลับที่ก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือ สายใยพลังแห่งแสงไหลวนไปบนฝ่ามือข้างนั้น

“นี่คือแก่นของพลังแห่งสัจธรรมงั้นเหรอ!!”

‘เนี่ยหลี่’ถึงกับตกตะลึง วงจรของลายอาคมที่ไหลไปบนฝ่ามือของมันเป็นเครื่องยืนยัน ว่าพลังแห่งสัจธรรมนั้นไม่ใช่พลังจากธรรมชาติ แต่ถูกสร้างขึ้นด้วยตัวตนอันยิ่งใหญ่ ที่เติมเต็มโลกใบนี้ด้วยลายอาคมสร้างขึ้นเป็นสัจธรรมแห่งธรรมชาติ

ลายอาคมเหล่านี้มีอยู่เต็มโลกนี้ไปหมดราวกับอากาศธาตุ

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใด’ยู่หยาน’จึงสามารถรวบรวมกายาพลังเทพได้แม้มันจะแตกสลายไปแล้วครั้งหนึ่ง ‘ยู่หยาน’คือสัจธรรมแห่งเปลวไฟของโลกนี้ ทั่วทั้งฟ้าดินนี้ นางคือเปลวไฟ สัจธรรมแห่งเปลวไฟก็คือนาง เมื่อรวบรวมได้มากพอ ร่างของนางจึงจะก่อรูปขึ้น

ในแง่หนึ่งแล้ว ในชาติก่อน ตอนที่’เนี่ยหลี่’ต้องการก้าวข้ามชั้นตำนานไปนั้น ก็จำเป็นจะต้องฝึกพลังแห่งสัจธรรมพราะโลกนี้ประกอบขึ้นด้วยพลังแห่งสัจธรรม เหมือนกับคนที่ถูกขังอยู่ในกรงก็ต้องใช้ทรัพยากรในกรงเสริมกำลังตนเองไป

แต่โชคดีที่’เนี่ยหลี่’ได้เข้าไปในหนังสือจิตอสูรท่องเวลาและได้รับวิชาบ่มเพาะพลังที่สมบูรณ์จนสามารถพาตัวอยู่นอกข้อจำกัดของโลกนี้ได้

‘ยู่หยาน’ที่เห็นลายอาคมบนมือของ’เนี่ยหลี่’ มีพลังแสงสว่างไหลไปตามเส้นลายอาคม นางก็ต้องตกตะลึงเพราะนางคิดว่าลายอาคมนั้นเป็นลายอาคมที่’เนี่ยหลี่’สร้างขึ้นมาเอง ‘เนี่ยหลี่’สามารถจับใจความของพลังแห่งแสงได้รวดเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? นี่นับว่าเกินกว่าผู้ใดจะจินตนาการได้ทีเดียว

ที่’ยู่หยาน’ไม่รู้ก็คือ ลายอาคมนี้ถูก’เนี่ยหลี่’ค้นพบจากการขึ้นโครงสร้างพลังแห่งสัจธรรมขึ้นมาใหม่ แก่นหลักของพลังแห่งสัจธรรมเป็นเพียงลายอาคมเท่านั้น เมื่อตัวตนอันยิ่งใหญ่เป็นผู้ลงลายอาคมเหล่านี้ไว้ พลังของตัวตนอันยิ่งใหญ่นี้จะต้องทรงอำนาจกว่าจุดสูงสุดของ’เนี่ยหลี่’เมื่อชาติที่แล้วเสียอีก

“พลังแห่งสัจธรรมงั้นหรือ?น่าสนใจดีนี่”

มุมปากของ’เนี่ยหลี่’ยกขึ้นเล็กน้อย เสียง [ปึ๊ด] เบาๆ ดังมาจากฝ่ามือเมื่อลายอาคมรวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมแสงเล็กๆ แสงสีขาวที่ส่องออกมาเรืองๆ ราวกับภูติน้อยก็พลันขยับแล้วลอยไปรอบๆ

“เมื่อมีแสงย่อมมีความมืด เมื่อมีลายอาคมที่ตรงข้ามกันสองแบบ การจะดึงโครงสร้างขึ้นมาใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”

‘เนี่ยหลี่’คิดในใจพลางเริ่มฝึกพลังแห่งสัจธรรมของความมืด

ในห้วงอันว่างเปล่า ทั้งเยือกเย็นสุดขั้วและความมืดมิดอันลึกล้ำสุดบรรยาย

ในที่สุด ‘เนี่ยหลี่’ก็รวบรวมพลังสัจธรรมแห่งความมืดมาไว้กับตัว

เมื่อ’เนี่ยหลี่’ไม่พูดอะไรและกลับไปฝึกพลังแห่งสัจธรรม ‘ยู่หยาน’ก็ได้แต่ทอดถอนใจ ในชีวิตของนางนับหมื่นปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับคนที่มีพรสรรค์อันน่าตื่นตะลึงขนาดนี้ ถึงขนาดจับจุดพลังแห่งแสงได้ในเวลาสั้นๆ ยิ่งยากจะจินตนาการถึงความสำเร็จในการบ่มเพาะพลังของ’เนี่ยหลี่’ในอนาคต มันจะก้าวข้ามเทพวิญญาณแสงสว่างตอนที่รุ่งโรจน์ที่สุดได้หรือไม่? นางคิดไปขณะฝึกไปด้วย

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ‘เนี่ยหลี่’ก็ขึ้นโครงสร้างพลังแห่งความมืดขึ้นใหม่ได้สำเร็จ จะอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นพลังแห่งแสงหรือพลังแห่งความมืด ก็เป็นพลังที่เป็นรองเพียงพลังฟ้าและสูงส่งกว่าพลังวิญญาณ นับว่าจับจุดได้ไม่ยาก

ครู่ต่อมา ‘ยู่หยาน’ลืมตาขึ้นและมองไปที่’เนี่ยหลี่’อย่างไม่เชื่อสายตา

‘เนี่ยหลี่’ค่อยๆ แบมือและแสงสำดำก็จุดประกายขึ้นบนฝ่ามือ ดูราวกับกลุ่มก้อนเปลวไฟสีดำสนิทที่เต้นเร่าลามเลียไปทั่วฝ่ามือ

แสงและความมืด ‘เนี่ยหลี่’จมอยู่ในความคิดของตน มันยังสงสัย ว่าเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ใดที่สรรสร้างพลังแห่งสัจธรรม เหตุใดจึงทำเช่นนั้น?

ในโลกนี้การจะฝึกพลังแห่งสัจธรรมจำเป็นต้องไปถึงชั้นชะตาฟ้าก่อน จึงจะสามารถขับเคลื่อนพลังที่ไม่มช่ของตนตั้งแต่แรกเริ่มได้ เมื่อมีพลังเช่นนี้อยู่ จึงทำให้โลกนี้ถูกปิดกั้นออกจากที่อื่น ต่อให้มีคนที่สามารถก้าวไปถึงชั้นชะตาฟ้าก็ไม่สามารถรวบรวมพลังได้มากพอจะทำลายสมดุลพลังแห่งสัจธรรมแล้วก้าวขึ้นสู่ชั้นที่สูงกว่านั้นได้

หากไม่ใช่เพราะหนังสือจิตอสูรท่องเวลาแล้ว ‘เนี่ยหลี่’ในชาติก่อนย่อมไม่อาจก้าวข้ามความสมดุลแห่งสัจธรรมโดยบังเอิญเข้าสู้โลกใหม่ได้

ช่างเถอะ เรื่องนั้นอย่างเพิ่งไปคิดถึงเลย

‘เนี่ยหลี่’กลับไปเล่นพลังแสงและความมืดในมือต่อ ควบคุมพวกมันให้แปลงเป็นรูปร่างต่างๆ ด้วยพลังแห่งสัจธรรมที่เขาได้มาตอนนี้ แม้จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือ เขาก็ยังมีวิธีรับมือได้

เหนือบ่อน้ำพุทมิฬ ‘ยู่หยาน’ตกตะลึงพรึงเพริดขณะที่สายตาของนางจ้องมองไปยัง’เนี่ยหลี่’ นางไม่รู้จะใช้คำใดมาอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้เลย

คนที่สามารถสัมผัสสัจธรรมแห่งแสงได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฝึก และครั้งแรกนั้นไม่ได้สัมผัสเพียงร่องรอยเท่านั้น แต่กกลับสัมผัสพลังที่เจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ ยิ่งไปกว่านั้น ในระยะเวลาสั้นๆ ยังสามารถเรียนรู้การควบคุมและใช้พลังแห่งแสงได้อีกต่างหาก

ที่น่าขันยิ่งกว่าก็คือ คนๆนั้น หลังจากควบคุมพลังแห่งแสงแล้ว ยังสามารถควบคุมพลังแห่งความมืดได้ดีไม่แพ้กัน

นี่ยังเรียกว่ามนุษย์ได้อีกเหรอ?

ในช่วงชีวิตของ’ยู่หยาน’กว่าหมื่นปี นางไม่เคยพบใครที่เหมือน’เนี่ยหลี่’ ที่สามารถฝึกทั้งพลังแห่งแสงและความมืด หากมีเวลาเพียงพอ มันจะเติบโตได้ขนาดไหนกัน?

แม้แต่’ยู่หยาน’ยังไม่อาจจินตนาการออก

ในโลกนี้ยังไม่เคยมีใครที่สามารถควบคุมพลังแห่งสัจธรรมถึงสองชนิดพร้อมกันเช่นนี้มาก่อน ไม่ต้องพูดถึงว่าพลังแห่งแสงและความมืดของ’เนี่ยหลี่’เป็นพลังที่ทรงอำนาจติดอันดับหนึ่งในสิบสุดยอดทั้งสองชนิด

‘ยู่หยาน’ในตอนนี้ไม่สามารถสงบหัวจิตหัวใจที่กำลังเต้นโครมครามได้เลย เดิมทีนางคิดว่า’เนี่ยหลี่’จะต้องใช้เวลาไม่ตำกว่าหลายสิบปีจึงจะสามารถสัมผัสร่องรอยพลังแห่งแสงได้สักเล็กน้อย นางไม่คิดเลยว่า’เนี่ยหลี่’จะสามารถมาถึงขั้นนี้ได้ในเวลาสั้นๆ เท่านั้น

นางจ้องไปที่’เนี่ยหลี่’ ด้วยความหดหู่ แม้ว่านางจะอยู่มานานนับหมื่นๆ ปี นางก็อดจะเสียความมั่นใจเพราะความเร็วในการบ่มเพาะพลังของ’เนี่ยหลี่’มิได้ กว่านางจะมาถึงขั้นนี้ได้ นางต้องเสียอะไรหลายๆ ไปเพื่อการบ่มเพาะพลัง

‘เนี่ยหลี่’เงยหน้าขึ้น มองไปยัง’ยู่หยาน’ และสัมผัสได้ว่ามีอะไรแปลกไปจากสีหน้าของนาง มันจึงถามอย่างสงสัยใจว่า

“พี่นางฟ้า เป็นอะไรหรือเปล่า?”

“ม…ไม่มีใด”

นางตอบตะกุกตะกัก

ความจริงแล้ว ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของ’เนี่ยหลี่’นั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ ในสายตาของ’ยู่หยาน’ พลังแห่งสัจธรรม คือพลังแห่งสัจธรรมของฟ้าดิน พวกเขาไม่มีความคิดหรือความสงสัยอะไร

ทว่า ‘เนี่ยหลี่’กลับแตกต่างออกไป เขาทำความเข้าใจพลังแห่งสัจธรรมในแง่มุมที่ไม่มีผู้ใดคาดถึง เขาจึงสามารถจับจุดพลังแห่งสัจธรรมได้รวดเร็วปานนี้

หลังจากได้รับพลังแห่งแสงและความมืดแล้ว เขาก็สามารถขยายกลยุทธ์ในการต่อสู้ออกไปได้อีกจนสามารถรับมือได้กระทั่งยอดฝีมือชั้นตำนาน จะอย่างไร พลังแห่งก็ยังสูงส่งกว่าพลังวิญญาณขั้นหนึ่ง

‘เนี่ยหลี่’ฝึกบ่มเพาะพลังต่อไปในบ่อน้ำพุทมิฬ ฝึกฝนทั้งร่างกายและวิญญาณด้วยพลังแห่งแสงและความมืด เวลานี้ พลังของ’เนี่ยหลี่’เกิดความเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ระดับพลังขยับขึ้นจากชั้นโกลด์ระดับสี่ดาวไปชั้นโกลด์ระดับห้าดาว

แน่นอนว่าเมื่อบ่มเพาะพลังไปจนถึงระดับหนึ่ง ความเร็วในการบ่มเพาะพลังจะเทียบไม่ได้กับการฝึกก่อนหน้า

ยามนี้แม้แต่พลังชั้นแบล็กโกลด์ก็อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น

‘เนี่ยหลี่’คิดในใจ หากเขาสามารถก้าวไปถึงระดับแบล็กโกล์ได้ ด้วยวิธีการที่มันรู้ แม้จะเผชิญหน้ากับยอดฝีมือชั้นตำนาน เขาก็ยังมีคาวามสามารถในการป้องกันตัว

เมื่อเขาเข้าสู่ระดับโกลด์ห้าดาว ‘เนี่ยหลี่’รู้สึกว่าแพนด้าเขี้ยวอสูรได้รับความสามารถใหม่ พลังแห่งแสงและความมืดไหลเข้าไปหลอมรวมกับแพนด้าเขี้ยวอสูร ในตอนนั้น มือข้างหนึ่งของเขาควบคุมพลังแห่งความมืด ในขณะที่มืออีกข้างควบคุมพลังแห่งแสง หากพลังทั้งสองไปโดนคนเข้าล่ะก็ มันจะปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมหลายสิบเท่าออกมา

‘เนี่ยหลี่’คิดจะพัฒนาการต่อสู้ด้วยความสามารถพิเศษใหม่นี้

ส่วนจิตอสูรเงาพราย ‘เนี่ยหลี่’รู้สึกได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงไปมากหลังจากที่’เนี่ยหลี่’ฝึกพลังแห่งความมืดสำเร็จ ยืดเวลาในการใช้ความสามารถแปลงร่างห้วงกาล ทำให้มันยิ่งสามารถพรางตัวได้แนบเนียน และยากจะถูกค้นพบขึ้นไปอีก ความสามารถในการต่อสู้ของภูติเงาปีศาจก็ดูจะเพิ่มขึ้นด้วย

‘เนี่ยหลี่’กำลังจมอยู่ในความคิดของตนขณะที่’ยู่หยาน’ที่อยู่เหนือบ่อน้ำพุทมิฬ มองไปที่’เนี่ยหลี่’ และจมอยู่ในความคิดเช่นกัน

ในตอนที่’เนี่ยหลี่’พูดว่ามันมีวิธีที่สามารถก่อรูปกายาเทพของนางขึ้นใหม่ นางไม่เชื่อถือเขาและปัดความคิดนี้ออกไป

ทว่า เมื่อนางเห็น’เนี่ยหลี่’สามารถเข้าถึงพลังแห่งสัจธรรมทั้งแสงและความมืดในเวลาอันสั้น นางจึงเริ่มคิดถึงคำพูดนั้นอีกครั้ง

‘เนี่ยหลี่’ยังคงอยู่ในห้วงภวังค์ฝึกตนต่อไป และพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วยี่สิบวัน แม้ว่าระดับพลังของ’เนี่ยหลี่’จะหยุดอยู่ที่ชั้นโกลด์ห้าดาว แต่หลังจากที่ฝึกพลังแห่งสัจธรรม ร่างกายของ’เนี่ยหลี่’ก็ก้าวไปถึงชั้นแบล็กโกลด์แล้ว

จบตอน

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments