I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 204 เสร็จแล้ว

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 21919 | 2527 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“เมื่อทั้งเมืองศิลาดำรู้เรื่องอยู่แล้ว ข้าจะไม่ปิดบัง พวกเรากับเผ่าภูติโลหิตได้ชิ้นส่วนแผนที่มา จะต้องนำชิ้นส่วนทั้งสองมาประกอบกันจึงจะได้แผนที่ฉบับสมบูรณ์ เราไม่รู้ว่าลายแทงนี้จะพาไปที่ไหน แต่แน่ใจได้ว่าจะต้องมีความลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในแผนที่แน่”

‘ลั่วเจี้ยน’พูด

“เผ่าภูติโลหิตประกาศออกมาแล้วว่าพวกเขาจะใช้กำลังเข้ากดดันจนกว่าพวกเราจะจบสิ้น ยกเว้นว่าพวกเราจะส่งมอบชิ้นส่วนแผนที่ออกไป”

‘เนี่ยหลี่’พยักหน้า พอจะเข้าใจสถานการณ์คร่าวๆ เผ่าภูติโลหิตมีอำนาจพอจะปิดฟ้าบังทะเล ไม่เช่นนั้นคงไม่กำแหงถึงขนาดประกาศเรื่องเช่นนี้ออกมาโต้งๆ

เขาควรจะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้หรือไม่?

‘เนี่ยหลี่’ลองใคร่ครวญดู จะอย่างไร ตระกูลตราหยกก็เป็นขุมกำลังของเผ่ามนุษย์ เท่านี้ก็มีค่าพอให้ร่วมมือด้วย หากเขาสามารถแสดงความแข็งแแกร่งให้เห็น อาจจะสามารถชนะใจตระกูลตราหยกได้ นั่น สำหรับเมืองกลอรี่แล้วนับว่าเป็นประโยชน์โดยปราศจากผลเสีย

“ข้าสงสัยว่า อะไรคือ แดนมรณะเก้าชั้น?”

“มีตำนานเล่าว่า แดนมรณะเก้าชั้น เป็นสถานที่ซึ่งกองทัพของเผ่ามนุษย์และสัตว์อสูรทำสงครามกันตั้งแต่สมัยโบราณ สงครามนั้นกินเวลาหลายพันปี ซากศพนับไม่ถ้วนทับถมกัน จนเกิดเมือกพิษจากสิ่งเน่าเสียทับถมกันจนเปลี่ยนพื้นที่บริเวณนั้นเป็นแดนมรณะ ทว่า ใต้นั้นยังมีขุมทรัพย์มากมายกระจัดกระจายไปทั่ว และอยู่ไม่ห่างจากโลกนรกานต์เท่าใด จึงมียอดฝีมือจากโลกนรกานต์ของเราหลายคนไปค้นหาสมบัติอยู่เนืองๆ”

สมรภูมิโบราณ?

‘เนี่ยหลี่’คิดถึง’ยู่หยาน’ ที่กำลังซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขา บางทีสถานที่นั้นคงมีความทรงจำอันเจ็บปวดของนางรวมอยู่ด้วย เพื่อนพ้องจากเผ่ามนุษย์จำนวนนับไม่ถ้วนตายส่วนนางต้องสูญเสียต้นกำเนิดพลังเทพไป เป็นเหตุให้นางต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ผ่านเวลาอย่างเชื่องช้ามาเป็นเวลานานหลายพันปี

“น่าอายที่ข้าดื่มสุราชั้นเลิศของเจ้าไปโดยไม่มีสิ่งใดตอบแทน สุราดีเช่นนี้หากนำออกประมูล ต้องทำเงินได้ไม่น้อยแน่”

‘ลั่วเจี้ยน’พูดอย่างกระอักกระอ่วน

“ข้าไม่ค่อยมีอะไรดีๆ ติดตัวเท่าไหร่…..นึกออกแล้ว ข้าขอมอบกระบี่ลงอาคมชั้นต้นเป็นของกำนัลแล้วกัน สิ่งนี้นับว่าเป็นสมบัติหายาก ข้าขอมอบให้แทนคำขอบคุณ”

‘เนี่ยหลี่’ถึงกับตกตะลึง เมื่อได้เห็นกระบี่ที่มีลายอาคมสายอัคคีระดับซิลเวอร์สลักอยู่ วัสดุที่ทำอาวุธนั้นนับว่าดีใช้ได้ แต่มีลายอาคมระดับซิลเวอร์สลักเอาไว้ อาวุธที่เขาเก็บติดตัวไว้ในแหวนมิติไม่ว่าชิ้นใดยังทรงพลังกว่ากระบี่เล่มนี้ แต่กระบี่เล่มนี้ยังดูล้ำค่ามากในสายตาของ’ลั่วเจี้ยน’

‘เนี่ยหลี่’ส่ายหัวพูดว่า

“ข้ามีอาวุธของตัวเองแล้ว ข้าไม่ต้องการกระบี่เล่มนี้หรอก พี่ลั่วเก็บมันไปเถอะ”

พอฟัง’เนี่ยหลี่’พูด ‘ลั่วเจี้ยน’ถึงกับงงงันไปชั่วขณะ ‘เนี่ยหลี่’มีอาวุธที่ดีกว่านี้อยู่แล้ว? มูลค่าของกระบี่ที่เขานำออกมานี้ไม่ใช่ถูกๆ แต่’เนี่ยหลี่’ยังปฏิเสธโดยไม่คิดเลยสักนิด

“ที่สลักอยู่บนกระบี่นั่นคือลายอาคมชั้นต้น?”

‘เนี่ยหลี่’ถามขณะชี้ไปที่ลายอาคมบนกระบี่

“ถูกแล้ว การจะสลักลายอาคมจะต้องเชิญช่างจารึกอาคมมาทำ หลังจากสลักลายอาคมลงไปแล้ว อาวุธนั้นจะทรงพลังขึ้นอีกหลายเท่าตัว ช่างจารึกอาคมชั้นต้นนั้นนับว่าเชิญตัวไม่ง่าย ตระกูลตราหยกของเราต้องจ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อยจึงจะเชิญมาได้”

‘ลั่วเจี้ยน’ดูภาคภูมิใจ

‘เนี่ยหลี่’ก็พลันเข้าใจเรื่องราว สิ่งที่โลกนรกานต์ขาดแคลนมากที่สุดก็คือวัสดุเกือบทุกประเภทอย่างมาก แม้ว่าจะมีสมบัติมากมายในแดนมรณะเก้าชั้น แต่ส่วนใหญ่มักจะเสียหายไปก่อนตามกาลเวลา พวกเขาจึงได้แต่สร้างอาวุธใหม่ด้วยด้วยวัสดุที่มี ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่ยังหาช่างจารึกอาคมยากมากอีกด้วย

‘เนี่ยหลี่’พูดอย่างใจเย็นว่า

“ลายอาคมระดับนี้ข้าก็ทำได้”

พอได้ยินที่’เนี่ยหลี่’พูด ‘ลั่วเจี้ยน’ถึงกับเบิกตากว้างมองไปยัง’เนี่ยหลี่’แล้วถามว่า

“หมายความว่าน้องชายเป็นช่างจารึกอาคมหรือ?”

“ก็คงจะเป็นเช่นนั้น”

ในมุมมองของ’เนี่ยหลี่’ คงพูดได้ว่าตัวเองเป็นช่างจารึกอาคมเพียงครึ่งเดียว ทว่า การจะสลักลายอาคมระดับล่างนับว่าเกินพอ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเข้าถึงสัจธรรมแห่งแสงและความมืดแล้ว ด้วยการส่งเสริมจากพลังแห่งสัจธรรม ลายอาคมที่เขาสลักจะทรงอำนาจยิ่งกว่าเดิม

ได้ยินคำตอบจาก’เนี่ยหลี่’ ‘ลั่วเจี้ยน’ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าด้วยความยินดีเป็นล้นพ้น แล้วพูดว่า

“ก่อนหน้านี้ตระกูลอู่กุ้ยได้รับตัวช่างจารึกอาคมชั้นต้นเอาไว้คนหนึ่ง นั่นเป็นน้องชายหรือ?”

“ไม่ใช่”

‘เนี่ยหลี่’ส่ายศีรษะ

“ไม่ทราบว่าน้องชายจะเดินทางไปที่ตระกูลตราหยกกับข้าได้หรือไม่?”

‘ลั่วเจี้ยน’เชื้อเชิญด้วยความสุภาพกว่าเดิม

หากเขาสามารถแสดงความสามารถทางลายอาคมออกมาได้ เขาต้องถูกคนของตระกูลตราหยกให้ความสำคัญอย่างมากแน่ แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญหน้ากับอันตราย

‘เนี่ยหลี่’ก็ยังมีวิธีการต่างๆ นานาที่สามารถช่วยให้หลบหนีได้ แถมยังมีเทพี’ยู่หยาน’ไปด้วย ต่อให้ตระกูลตราหยกทุ่มเทกำลังของยอดฝีมือชั้นเซียนสองคนออกมาก็ยังไม่อาจรั้งเขาไว้

“ได้สิ”

‘เนี่ยหลี่’ตอบอย่างใจเย็น ขณะพยักหน้า

“ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

‘ลั่วเจี้ยน’ยืนขึ้น ดูตื่นเต้นมากทีเดียว เขาเป็นคนหยาบดังนั้นจึงแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าทั้งหมด

‘ลั่วเจี้ยน’เป็นคนไม่มีลับลมคมใน การรับมือคนเช่นนี้ ช่วยให้’เนี่ยหลี่’รู้สึกว่าสามารถวางใจได้มากกว่าเดิม

ทั้งสองคนเดินไปตามทาง ค่อนข้างไกลทีเดียวกว่าจะถึงที่หมาย ( T/L: อ้าว แล้วผู้ติดตามอีกสองคนไปไหนอ่ะ?)

ที่ตั้งตระกูลตราหยกเป็นเหมือนป้อมปราการขนาดใหญ่ที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด

พอได้เห็นป้อมปราการของเผ่ามนุษย์ ‘เนี่ยหลี่’ก็พลันรู้สึกอธิบายไม่ถูก ได้เห็นทหารยามที่เข้มงวด ‘เนี่ยหลี่’กลับรู้สึกเหมือนเป็นคนใกล้ชิดขึ้นมา จะอย่างไรข้างล่างนี้ก็มีเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ไม่มาก

พวกเขาผ่านประตูขนาดใหญ่เข้าไปสู่ห้องโถงหลัก ที่นั่นมีชายวัยกลางคนใบหน้าเคร่งขรึมในเสื้อคลุมสีเทานั่งอยู่ แก้มแข็งกระด้างราวกับสลักไว้บนหน้า ทำให้บรรยากาศรอบตัวเหมือนป่าช้า ชายคนนั้นกำลังคิดไม่ตกเรื่องความขัดแย้งกับเผ่าภูติโลหิตทำให้เขาต้องขมวดคิ้วด้วยความกังวล

พอเขารู้สึกตัวว่ามีคนเข้ามา จึงลืมตาขึ้น นัยตาเกรี้ยวกราดกวาดมอง’ลั่วเจี้ยน’และ’เนี่ยหลี่’

“ท่านพ่อ ข้าได้พบกับน้องชายท่านนี้โดยบังเอิญ น้องชายท่านนนี้บอกข้าว่าเป็นช่างจารึกลายอาคม”

‘ลั่วเจี้ยน’พูดกับชายวัยกลางคนอย่างตื่นเต้น

ชายวัยกลางคนนี้คือบิดาของ’ลั่วเจี้ยน’ นาม ‘ลั่วเซี่ยว’ เจ้าตระกูลตราหยก ‘เนี่ยหลี่’มองไปที่เขาอย่างข่วยไม่ได้

พอได้ยินคำพูดของ’ลั่วเจี้ยน’ ‘ลั่วเซี่ยว’อดมองไปทาง’เนี่ย’อย่างตกตะลึงทั้งขมวดคิ้วไม่ได้ ด้วยอายุเพียงเท่านี้ ‘เนี่ยหลี่’ดูไม่เหมือนผู้รอบรู้ด้านลายอาคมเลย

แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่อาจตัดสินหนังสือจากปกได้ หลายปีที่ผ่านมา เขาพบเห็นเด็กอัจฉริยะมาแล้วหลากหลายรูปแบบ แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อ เขาก็ไม่แสดงออกทางสีหน้า

“หลานชาย เชิญนั่งก่อน ไม่ทราบว่าเจ้ามาจากที่ไหน? อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร?”

พอได้ยินคำถาม ‘เนี่ยหลี่’ก็ส่ายศีรษะตอบว่า

“ข้าเกรงว่าข้าไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้ โปรดอภัย”

‘เนี่ยหลี่’ยังคงมองไปที่ผู้เป็นใหญ่แห่งตระกูลตราหยก แม้ว่า’ลั่วเซี่ยว’จะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่การพูดจาค่อนข้างอ่อนโยนจนแทบจะไร้แรงกดดันทีเดียว

“เมื่อหลานชายไม่ต้องการพูดถึงก็แล้วกันไปเถอะ”

‘ลั่วเซี่ยว’ยิ้มแล้วพูด

“หลานชายเป็นช่างจารึกอาคมชั้นต้นหรือ?”

‘ลั่วเซี่ยว’พูดพลางคาดเดาตัวตนของ’เนี่ยหลี่’ เมื่อมีคนแปลกหน้ามาหาถึงตระกูล เขาก็สมควรระมัดระวังไว้บ้าง

“ถูกแล้ว ข้ามีความเข้าใจเรื่องลายอาคมเล็กน้อย”

‘เนี่ยหลี่’ตอบ

ด้วยอายุเพียงเท่านี้ แม้จะเผชิญหน้ากับเจ้าตระกูล แต่เขากลับไม่ยกตัวเองจนสูงและไม่กดตัวเองลงต่ำ นี่ทำให้’ลั่วเซี่ยว’ต้องประเมินเขาใหม่ ยิ่งต้องการทราบว่า’เนี่ยหลี่’เป็นช่างจารึกลายอาคมจริงหรือไม่

“เรามองว่าช่างจารึกอาคมมีความสำคัญอย่างสูง ตราบเท่าที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นช่างจารึกอาคมจริง ย่อมจะได้รับการดูแลจากตระกูลราหยกของเราอย่างดี ไม่ทราบว่าหลานชายจะแสดงทักษะให้เราเห็นสักหน่อยได้หรือไม่?”

‘ลั่วเซี่ยว’ยิ้ม

“แน่นอน”

‘เนี่ยหลี่’พยักหน้า เขาไม่ได้สนใจเรื่องการดูแลอะไรนั่น เหตุผลที่เขามาที่นี่ก็เพื่อความร่วมมือจากตระกูลตราหยก ดังนั้นก่อนที่จะมีความร่วมมือใดๆ เกิดขึ้น เขาจะต้องแสดงให้เห็นว่าเขามีศักยภาพเพียงพอ

“เด็กๆ นำเครื่องมือสำหรับสลักลายอาคมชั้นต้นมา”

‘ลั่วเซี่ยว’พูด มองไปยังข้ารับใช้

“ขอรับ”

ข้ารับใช้รับคำและรีบออกไปทำตามคำสั่ง

ส่วนข้ารับใช้อื่นๆ พากันกระซิบกระซาบเสียงเบา

“อ้างว่าเป็นช่างจารึกอาคมด้วยอายุเท่านี้เนี่ยนะ?ข้าว่าแหกตาเห็นๆ มันจะไปมีช่างจารึกอาคมตัวแค่นี้ได้อย่างไร?”

“ข้าก็ว่าอย่างนั้น ช่างจารึกอาคมที่ไหนก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการศึกษาลายอาคม ต่อให้มันเริ่มเรียนรู้ลายอาคมตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นช่างจารึกอาคมตั้งแต่อายุเท่านี้หรอก จริงมั้ย?”

“พูดอย่างนั้นไม่ได้หรอก อย่าตัดสินคนจากภายนอกสิ”

ข้ารับใช้พูดคุยเสียงเบาพลางส่งสายตามาทาง’เนี่ยหลี่’ พากันสงสัยว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร หากพิสูจน์ได้ว่า’เนี่ยหลี่’แหกตา เขาย่อมจะต้องถูกโยนออกไปจากตระกูลตราหยกแน่

ด้วยความรวดเร็ว โต๊ะถูกเคลื่อนย้ายมายังโถงหลัก บนโต๊ะมีอุปกรณ์สำหรับสลักลายอาคมทุกประเภท วางอยู่ตรงหน้า’เนี่ยหลี่’

กระบี่สีชาดถูกวางลงตรงหน้า’เนี่ยหลี่’ เขาหยิบกระบี่ขึ้นมารับรู้น้ำหนักของกระบี่อย่างเงียบเชียบ มืออีกข้างก็หยิบอุปกรณ์สลักขึ้นมา จุ่มลงในโลหิตสัตว์อสูรเล็กน้อยแล้วเริ่มสลักลายอาคมลงบนกระบี่แห่งเปลวเพลิง

ปกติแล้ว มีดสลักลายอาคมไม่ควรจะกินเนื้อของกระบี่แห่งเปลวเพลิงได้ ทว่า การลงอาคมของ’เนี่ยหลี่’ได้ทิ้งลายเส้นที่ประทับลงบนกระบี่ทุกครั้ง ทุกลายเส้นเรืองแสงสีชาดออกมาพร้อมกับมีพลังวิญญาณแผ่ออกมาจากลวดลายนั้น

เมื่อเห็นภาพตรงหน้านี้ ทั้ง’ลั่วเซี่ยว’และ’ลั่วเจี้ยน’ต่างก็เบิกตาจนกลมกว้าง

แม้ว่า’เนี่ยหลี่’จะเพิ่งสลักลงไปได้ไม่กี่เส้น แต่ก็เป็นที่แน่ใจได้แล้วว่า’เนี่ยหลี่’คือช่างจารึกลายอาคมชั้นต้นจริงๆ อย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ช่างเป็นช่างจารึกลายอาคมที่อายุน้อยอะไรขนาดนี้ นี่เขามีภูมิปัญญาสูงส่งขนาดไหนกัน? เมื่อเขาโตขึ้น เขาอาจจะกลายเป็นช่างจารึกอาคมชั้นสูงในอนาคตก็ได้

ขณะที่มองภาพตรงหน้า ‘ลั่วเซี่ยว’ก็ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องดึงตัว’เนี่ยหลี่’มาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องจ่ายเท่าไหร่ก็ตาม จัดการให้’เนี่ยหลี่’กลายเป็นสมาชิกของตระกูลตราหยก ในอาณาจักรนรกานต์นี้ เป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ด้วยกันจะเข้ากันได้ง่ายกว่า ในบรรดาขุมกำลังของเมืองศิลาดำแห่งนี้ ตระกูลตราหยกนับว่าเป็นขุมกำลังเผ่ามนุษย์ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแข็งแกร่งที่สุด ยิ่งเมื่อรวมกับที่ได้’เนี่ยหลี่’เข้าร่วมด้วย ตระกูลตราหยกย่อมจะต้องทรงอำนาจขึ้นกว่าเดิม

‘เนี่ยหลี่’ยังคงสลักลายอาคมบนกระบี่ต่อไป ในลายอาคมนั้น ได้รวมความรู้เรื่องลายอาคมและพลังแห่งสัจธรรมของ’เนี่ยหลี่’เข้าไปด้วย โดยทั่วไปแล้ว ลายอาคมที่สลักลงไปควรเป็นลายอาคมชั้นซิลเวอร์ ทว่า พลังของมันไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเพียงชั้นซิลเวอร์เลย

‘ยู่หยาน’ที่อยู่ในแขนเสื้อ รับรู้ถึงสีหน้าและการกระทำของ’เนี่ยหลี่’ แม้แต่นางยังอดตกตะลึงต่อเจตจำนงและความเข้าใจในพลังแห่งสัจธรรมของ’เนี่ยหลี่’ไม่ได้

ยามนี้ ‘เนี่ยหลี่’สามารถใช้พลังแห่งสัจธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เพียงชั่วเวลาดื่มน้ำชาหมดถ้วย ‘เนี่ยหลี่’ก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดกับ’ลั่วเซี่ยว’และ’ลั่วเจี้ยน’ว่า

“เสร็จแล้ว”

เสร็จแล้วงั้นเหรอ?

‘ลั่วเซี่ยว’ตกใจยิ่ง ช่างจารึกอาคมทั่วไปจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งค่อนวันในการสลักลายอาคมแต่ละครั้ง แต่’เนี่ยหลี่’ใช้เวลาเพียงนี้เท่านั้น?

จบตอน

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments