ตอนที่แล้วตอนต่อไปใช่เพียงยกระดับความแข็งแกร่งของ’เนี่ยลี่’และพรรคพวกได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น หากจะต้องมีกำลังหนุนที่สำคัญอย่างเพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับวิกฤติในคราต่อไปด้วย
พวกเขาอยู่ในภาวะวิกฤติของบ่มเพาะพลัง หากหยุดกลางคัน ผลกระทบทีได้รับนั้นจะเป็นลบอย่างมิอาจคาดเดาได้
‘เนี่ยหลี่’ยังคงฝึกฝนบ่มเพาะพลังและดูดซัมพลังวิญญาณและพลังแห่งสัจธรรมมากยิ่งๆขึ้นไปอีก ส่วนดาบเทพอัสนีดาวตกนั้นเปล่งแสงออกมาอย่างสวยงามพร้อมทั้งลอยมาอยู่ตรงเบื้องหน้าเนี่ยลี่อย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าดาบเทพอัสนีดาวตกได้ดูดซับพลังงานโดยรอบมาด้วยเช่นกัน
เมื่อดาบเทพอัสนีดาวตกได้ดูดซับดูดซัมพลังวิญญาณและพลังแห่งสัจธรรมนั้น แลดูเหมือนวังวนที่ดึงดูดสูบพลังงานเข้าไปในดาบอย่างต่อเนื่อง
‘เนี่ยหลี่’รู้สึกได้ในบัดดลว่าพลังวิญญาณและพลังแห่งสัจธรรมโดยรอบที่มากมายได้ลดลง และในทันใดนั้นเองรู้สึกได้อีกว่าแพนด้าเขี้ยวนั้นเริ่มดูดกลืนจิตอสูรมากขึ้น
ดาบเทพอัสนีดาวตกได้ปลดปล่อยสายฟ้าออกและดูเหมือนจะมีอะไรบางสิ่งอย่างเคลื่อนไหวอยู่ในสายฟ้าเหล่านั้น ด้วยความคิดอันเฉียบไวเนี่ยหลี่จึงหันสำนึกรู้แห่งจิต(พิชาน)ไปพินิจพิเคราะห์ดาบเทพอัสนีดาวตกทันที
จิตของ’เนี่ยลี่’นั้นได้ถูกดึงเข้าไปด้วยพลังอันประหลาดและทำให้เป็นเกิดสถาวะดำลึกภายใต้สภาวะจิต (จิตของเนี่ยลี่ถูกพลังของดาบเทพอัสนีดาวตกดึงเข้าไปในมิติจิตของดาบเทพอัสนีดาวตกไงครับ)
ในขณะเดียวกัน เหล่านักสู้ระดับตำนานจากตระกูลอสูรสาบที่โดนดักให้ติดกับอยู่ในค่ายกลหมื่นอสูรนั้นและยังไม่สามารถออกมาได้ นักสู้ระดับธรรมดาหลายคนถูกสังหารโหดโดยลอร์ด’เอียมัว’
นักสู้ระดับตำนานคนหนึ่งนั้นสังหารนักสู้ระดับธรรมดาหลายต่อหลายคนได้นั้นประดุษดั่งกับพญาเสือในฝูงแกะ เพียงด้วยคลื่นพลังจากฝ่ามือของลอร์ดเอียมัวเพียงครั้ง ก้ทำให้นักสู้ระดับแบล็กโกลด์(ทองคำนิล)
ถึง ห้าหกคนต้องลงไปกองกับพื้นด้วยพลังเมฆาน้ำแข็ง นั้นคงไม่จักต้องเอ่ยถึงความสยดสยองของชะตากรรมของนักสู้เพียงแค่ระดับเงินหรือทอง
ขณะที่กำลังมองคนของตระกูลถูกสังหาร นัยตาของนักสู้ระดับตำนานที่จ้องมองพรรคพวกนั้นแดงก่ำมากขึ้นไปอีก
หนึ่งในนักสู้ระดับตำนานจากตระกูลอสูรสาบก็ตะโกนด้วยเสียงอันเยือกเย็นว่า
” หวู่หยู๋ (Wu Yue) ใช้เคล็ดวิชาต้องห้าม โลหิตเทพ ซะ “
‘หวู่หยู๋’ ก็ลังเลอยู่ชั่วขณะ หากใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามโลหิตเทพนี้แล้ว ‘หวู่หยู๋’จะสามารถพาทุกคนออกจากค่ายกลหมื่นอสูรนี้ได้ ยังไงก็ตามแต่ที่ หลังจากใช้เคล็ดนี้แล้วไซร้ เขาจักต้องได้รับผลร้ายแรงต่อพลังยุทธในกายแน่นอน
“หากเจ้ามิใช้ในเวลามันนี้ จะมิทันการณ์ “
นักสู้ระดับตำนานทั้งหมดล้วนตะโกนบอกออกมา
ในระหว่างที่หวู่หยู๋กำลังลังเลอยู่ ‘เอี้ยเซิ่ง’ ผู้อยู่ ณ ใจกลางของค่ายกลหมื่นอสูรนั้น ก็แผ่รังสีอันเยือกเย็นออกมาจากสายตาพร้อมเปลี่ยนรูปสัญลักษณ์มือที่ควบคุมอยู่ ค่ายกลหมื่นอสูรนั้น ก็แปรเปลี่ยนรูปอย่างรุนแรงในทันใด
เหล่าพลังงานอสูรระดับแบล็กโกลด์(ทองคำนิล)ทั้งมวลนั้นรวบรวมด้วยกันดุจภูผาที่กระหน่ำโถมลงมาจากเบื้องบน
ดั่งพลังอันน่าเกรงขามที่ทลายลงมาสู่พวกเขา หนึ่งในนักสู้ระดับตำนานซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดนั้นได้เหวี่ยงหมัดต้านทานด้วยความแข็งแกร่งที่มีไปยังฝูงสัตว์อสูรนั้น
ตูม!
พลังที่มิอาจเปรียบได้นั้นได้ถาโถมเข้าไปสู่ร่างของนักสู้ระดับตำนานและครอบคลุมไปทั่ว
” เป็นเยี่ยงนี้ได้เช่นไรกัน? อั่ก… “
นักสู้ระดับตำนานคนนั้นแผดเสียงร้องมาคำหนึ่งอย่างเศร้าอนาถพร้อมๆกับร่างที่ระเบิดออก
ตูม! ตูม! ตูม!
ทันทีทันใดร่างของนักสู้ระดับตำนานอีกสามคนก็ระเบิดออกเช่นกัน
ค่ายกลหมื่นอสูรนั้นช่างทรงพลังยิ่งนักแมันจักสักหารนักสู้ระดับตำนานก็ได้อย่างมิยากเย็นแต่อย่างใด
นักสู้ระดับตำนานทั้งสิบเอ็ดคนนั้นได้พุ่งเข้ามาปะทะสู้ในขอบเขตค่ายกลหมื่นอสูรนี้โดยมิได้แม้จักรู้ว่าค่ายกลนี้คือสั่งใด และต้องสังเวยไปแล้ว สาม อีกแปดเท่านั้นที่ยังอยู่รอด
เมื่อได้เห็นเหตุการณ์ภาพนั้น ดวงตาของ’หวู่หยู๋’จักเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ‘หวู่หยู๋’เข้าใจแล้วว่าหากเขาไม่ใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามโลหิตเทพ พวกเขาจะต้องม้วยมรณา ต้องโดนฝังอยู่ที่นี่แน่นอน
เมื่อ’หวู่หยู๋’ร่ายคาถา นับตั้งแต่ตัว ขา แขนและอีกมากมายทั่วร่างก็มีเลือดไหลออกมาทุกรูขุมขนบนทุกอนูร่างกาย เลือดนั้นกลายเป็นหมอกโลหิตห่อหุ้มล้อมตัวเขาไว้ ร่าง’หวู่หยู๋’ก็ขยายใหญ่ขึ้นและดูดุจดั่งปีศาจทีสร้างจากโลหิต
โฮกกกกกกกกกกกกกกกก(เสียงคำรามเหมือนสัตว์ปลดปล่อยพลังก็แล้วกันครับ)!!!
” ตามข้ามา “
‘หวู่หยู๋’คำรามเสียงอย่างดุดัน และเปลี่ยนเป็นดั่งลำแสงพุ่งออกไปปะทะค่ายกลเพื่อออกไปจากจากค่ายกลหมื่นอสูร
นักสู้ระดับตำนานที่เหลืออีกเจ็ดคนก็ตามหลัง’หวู่หยู๋’ไปทันที
ปัง ! ปัง ! ปัง !
ในขณะที่เหล่าจิตอวญญาณอสูรระดับแบล็กโกลด์(ทองคำนิล)จากค่ายกลหมื่อนอสูรนั้นปะทะกับหมอกโลหิตที่รายล้อมอยู่รอบร่างของหวู่หยู๋นั้นก็ระเบิดและสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
‘หวู่หยู๋’ได้พุ่งปะทะต่อไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งและปราศจากการความตั้งใจใดที่จะหยุดรั้งได้
เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้านั้น ‘เอี้ยเซิ่ง’ขมวดคิ้วพร้อมขยับเปลี่ยนรูปสัญลักษณ์มือที่ควบคุมผนึกตราประทับค่ายกลและค่อยๆขยับดันผนึกตราประทับออกไปด้านนอกอย่างช้าๆ
ภายในค่ายกลนั้น ก่อเกิดฝ่ามือขนาดใหญ่ปรากฎออกมาและพุ่งตรงไปยัง’หวู่หยู๋’
แม้จะเห็นมือขนาดมหึมานั้น ‘หวู่หยู๋’หาได้หลบไม่ แต่กลับยกดาบในมือพร้อมพุ่งเข้าหามือยักษ์นั้นแทน
ตูม!
แม้ดาบในมือของ ‘หวู่หยู๋’จะย่อยยับในบัดดล แต่เขาก็ได้ทะลวงมือยักษ์นั้นเกิดเป็นรูทะลุในการพุ่งปะทะและออกจากค่ายกลหมื่นอสูรได้สำเร็จ รวมทั้งนักสู้ทั้งเจ็ดที่ตาม’หวู่หยู๋’มาด้วยเช่นกัน
“ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะหนีออกไปได้จริงๆ “
‘เอี้ยเซิ่ง’รู้สึกเจ็บใจ เขายังไม่สามารถใช้ค่ายกลหมื่นอสูรได้อย่างมีประสิทธิภาพนัก นี้คือเหตุผลที่หวู่หยู๋ทำการหนีออกไปได้ นอกเหนือจากนั้น เคล็ดวิชาต้องห้ามที่หวู่หยู๋ใช้นั้นทรงพลังมาก หวู่หยู๋นั้นได้ความแข็งแกร่งขึ้นถึงระดับพลังขั้นเซียนในชั่วพริบตา ซึ่งเป็นเหตุให้ค่ายกลนั้นมิอาจต้านทานหยุด’หวู่หยู๋’ได้ ณ เวลานั้น
อย่างไรก็ตามแต่ หลังจากที่พุ่งปะทะทะลุออกมาจากค่ายกลได้แล้วนั้น ‘หวู่หยู๋’กระอักเลือดออกมาเต็มปาก และร่างกายหดกลับสู่ขนาดเดิมอย่างรวดเร็ว เพียงเพื่อพุ่งปะทะให้ออกมาจากค่ายกลนั้น
‘หวู่หยู๋’จะต้องใช้เคล็ดวิชาต้องห้ามของตระกูลอสูรสาบซึ่งจะต้องจ่ายด้วยความทุกข์ทรมานร้ายแรงต่อพลังยุทธของตนอีกตลอดชีวิต และยิ่งไปกว่านั้น การเผชิญหน้ากับค่ายกลนั้นทำให้หวู่หยู๋ได้รับบาดเจ็บร้ายแรงอีก ซึ่งมิอาจจะสามารถฟื้นคืนได้ภายในปีสองปีนี้
หนึ่งในนักสู้ระดับตำนานได้เข้าไปแบกตัวของ’หวู่หยู๋’ไว้
ผู้นำกลุ่มนั้นได้หันหลังกลับไปและจ้องมอง’เอี้ยเซื่ง’ ซึ่งที่อยู่ ณ ใจกลางของค่ายกลและเปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นว่า
” วันนี้พวกเราตระกูลอสูรสาบ ถูกล่อหลอกจากเมืองกลอรี่ เราจะกลับมาคิดบัญชีเรื่องนี้ในอนาคตอีกแน่นอน ไอ้ค่ายกลนี้จักช่วยพวกแกได้แค่เวลานี้เท่านั้น แต่มิใช่ตลอดไปหรอก คราหน้าเมื่อข้ามาเยือน ข้าจะสังหารพวกเจ้าทั้งหมดและฝังไว้กับเหล่าพี่น้องของข้าที่ตายจากไป “
‘เอี้ยเซิ่ง’จ้องมองกลับไปที่เหล่านักสู้จากตระกูลอสูรสาบที่ลอยอยู่อย่างเย็นชา และเอ่ยเสียงอย่างดูถูกว่า
” สำหรับพวกเจ้า ครานี้เพียงแค่การสั่งสอนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น หากจักหาญกล้ามาต่อกรอีก ข้าจักให้พวกเจ้าม้วยมรณาทั้งหมดทั้งมวลเสียทีนี่ หากพวกเจ้าจักต้องการมายืดเมืองกลอรี่ของข้า จักประเมินเจ้าเองก่อนเถอะ “
เหล่านักสู้จากตระกูลอสูรสาบก็ได้แบกคนที่มีแผลและบาดเจ็บและคุ้มครองพวกที่เหลือพร้อมทั้งถอนกำลังกลับไป
อย่าได้ไล่ล่าศัตรูที่จนมุม แม้ว่าพวกเขาจะมีนักสู้ระดับตำนานหลืออยู่อีกเจ็ดคน แต่ถ้าหากลอร์ด’เอี้ยมัว’ ‘เอี้ยเซิ่ง’ และคนที่เหลืออยู่นั้นจะไล่ล่าพวกตระกูลอสูรสาบนั้นใช่ว่าจะจัดการให้พวกเขาอยู่หมัดได้
กองกำลังของตระกูลอสูรสาบถอนกำลังหายกลับไปดั่งน้ำลด การศึกเผชิญหน้ากันครั้งแรกนี้มิได้นานนัก แต่ตระกูลอสูรสาบกลับปราชัยอย่างหมดรูป อย่างไรก็ตามแต่ไพ่ตายบางอย่างของเมืองกลอรี่ก็ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว
ค่ายกลหมื่นอสูรนี้อาจจะมิได้ใช้อย่างมีประสิทธิผลในคราถัดไป (คราวนี้หลอกให้เข้ามาในค่ายกลได้ แต่คราวหน้า …)
ในขณะมองดูเหล่านักสู้จากตระกูลอสูรสาบถอยออกไป ความวิตกกังวลอย่างอย่าหนึ่งได้เพิ่มขึ้นมาภายในใจของ’เอี้ยเซิ่ง’ ครานี้ตระกูลอสูรสาบนั้นเพียงแค่ส่งกำลังมาเพียงเพื่อมาลองเชิงเท่านั้น ตระกูลอสูรสาบคิดว่าแค่จำนวนนักสู้ระดับตำนานเพียงเท่านี้นั้นก็เพียงพอที่จะยึดเมืองกลอรี่แล้ว
อย่างไรก็ตามแต่ พวกเขาไม่ได้เตรียมการจะใช้สิ่งใดในการที่จะปะทะกับค่ายกลหมื่นอสูรเลย ในคราถัดไปของการโจมตีจากตระกูลอสูรสาบคงไม่ได้ง่ายอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือพวกเขา(ฝั่งเมืองกลอรี่)สามารถขับไล่ศัตรูระลอกแรกให้ล่าถอยถอนกำลังไปได้ การโจมตีระลอกสองของตระกูลอสูรสาบจะยังไม่มาอีกใน 2 เดือนนี้อย่างแน่นอน อย่างน้อยเมืองกลอรี่จะยังมีเวลามากพอที่จะเตรียมแผนการรับมือกับพวกมันอีก
หลังจากได้รับข้อมูลบางอย่างจากลอร์ด’เอียมัว’ ภายในเมืองทั้งสิบห้าเมืองในนรกานต์นั้น มีเพียงแค่ตระกูลอสูรสาบกับสมาคมทมิฬเท่านั้นที่รู้ถึงการมีอยู่ของเมืองกลอรี่ ทั้งสองกองกำลังนี้นั้นทะนุถนอมเมืองนี้เป็นดั่งขุมทรัพย์ของตนและมิปราถนาจะแบ่งให้ใครทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้เองสถานที่ตั้งของเมืองกลอรี่จึงมิได้เล็ดลอดรั่วไหลออกไป
ถ้าข่าวนี้รั่วไหลออกมา คงมีกองกำลังมากกว่านี้จากทั้งสิบห้าเมืองนรกานต์ เมื่อถึงตอนนั้น เมืองกลอรี่จักตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวงมากกว่านี้แน่
แต่ ณ ตอนนี้ พวกเขา(เมืองกลอรี่)จัดการตระกูลอสูรสาบได้ ส่วนอนาคตคงต้องเป็นเรื่องของอนาคตไปอีกที
จิตของ’เนี่ยหลี่’ที่เข้าไปในดาบเทพอัสนีดาวตกนั้นได้ประสพพบกับสภาวะจิตดำลึกลงไป
หลังจากได้เห็นการรวมสายฟ้าลงไปในที่ว่างไร้จุดจบ ดูเหมือนจะมีอะไรลึกลับบางอย่างอยู่ภายในสายฟ้านั้น จิตของ’เนี่ยหลี่’พยายามเจาะผ่านเข้าไปในสายฟ้านั้น ทันใดนั่นเองก็มี เสียงระเบิดดังขึ้นหนึ่งครั้งพร้อมสายฟ้าฟาดไปที่จิตของ’เนี่ยลี่’
ในขณะที่ถูกสายฟ้าฟาดนั้น เนี่ยหลี่รู้สึกเจ็บปวดวิ่งตลอดทั้งกายดั่งว่าร่าง’เนี่ยลี่’กำลังจะระเบิดออก
ความเจ็บปวดเช่นนี้นั้นรู้สึกได้ถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณของ’เนี่ยลี่’เลยทีเดียว
‘เนี่ยหลี่’ พยายามควบคุมดึงจิตของตัวเองกลับคืนมาแต่กลับตระหนักได้ว่าถูกรายล้อมรอบไปด้วยสายฟ้าเสียแล้ว
ตูม ! ตูม ! ตูม !
เหล่าสายฟ้าที่รุนแรงนั้นยังคงโจมตีจิตของเนี่ยลี่อีกอย่างต่อเนื่องดั่งกับว่ามันพยายามจะทำลายจิตของเขาให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
วี๊ดดด!
ความเจ็บปวดนั้นเป็นเหตุให้’เนี่ยลี่’หายใจเข้าอย่างเจ็บปวดดุจดั่งสูดอากาศเย็นยะเยียกเข้าไป ‘เนี่ยหลี่’พยายามใช้พลังอย่างเต็มที่ที่จะดึงจิตให้หลุดพ้นออกมา แต่ อย่างไรก็ตาม พลังที่ดึงจิตเนี่ยลี่นั้นได้ตรึงจิตเขาไว้อย่างทรงพลัง
พลังสถิตย์ในดาบเทพอัสนีดาวตกนี้จักเหมือนมิได้มาจากโลกนี้
เมื่อ’เนี่ยลี่’โดนสายฟ้าฟาดเนี่ยหลี่รู้สึกได้เลาๆว่าสายฟ้าเหล่านั้นฟาดผ่านจิตสำนึกของเขาและเข้าไปขอบเขตแห่งจิตวิญญาณของเขาด้วย แต่แรกเริ่มเดิมทีนั้นสายฟ้าที่ฟาดลงมานั้นมาพร้อมที่จะทำลายขอบเขตวิญญาณของ’เนี่ยลี่’
แต่ในทันใดกลับถูกถูกดึงดูดเข้าไปสู่ต้นเถาแห่งจิตในขอบเขตวิญญาณของเนี่ยลี่แทนสายฟ้า เหล่านั้นจึงฟาดผ่านไปยังขอบเขตวิญญาณของเนี่ยลี่และหายไปแทน
แม้ว่า’เนี่ยลี่’จะต้องฝืนบังคับอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดนั้น แต่’เนี่ยลี่’ก็ยังคงรู้สึกถึงควารเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ ‘เนี่ยลี่’จึงพยายามที่จะล่อให้สายฟ้าถูกดูดเข้าไปสู่ต้นเถาแห่งจิตในขอบเขตวิญญาณของ’เนี่ยลี่’แทน
ณ เวลาเดียวกันนั้น ‘เอี้ยจื่ออวิ้น’ ‘เซียวหนิงเอ๋อ’ ‘ต้วนเจี้ยน’และคนอื่นที่เหลืออีกเจ็ดคน ที่อยู่ในค่ายกลด้วยกันนั้น รู้สึกได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดหลังหนึ่งได้เจาะทะลุเข้าไปในขอบเขตวิญญาณของพวกเขา
พวกเขารู้สึกได้ลางๆถึงพลังงานของสายฟ้าที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าสายฟัานั้นกำลังจะพยายามจะฉีกแยกของขอบเขตวิญญาณของพวกเขาให้เป็นชิ้นๆเลยที่เดียว
สิ่งนี้คือพลังงานที่ปลดปล่อยออกมาจากดาบเทพอัสนีดาวตก แม้จะเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยนิดของพลังเท่านั้นแต่ก็มากพอที่จะส่งผลต่อ’เอี้ยจื่ออวิ้น’และคนอื่นๆ
พวกเขาควบแน่นขอบเขตของจิตวิญญาณในทันทีพร้อมเรียกจิตอสูรที่รวมร่างและเริ่มต่อสู้กับพลังนั้น
รูปแบบของอักขระจารึกของข่ายเวทย์ก็หมุนวนอย่างรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมทั้งมีประกายแสงสว่างสุกใสเปล่งออกมา
เทพธิดา’ยู่หยาน’ที่ลอยอยู่บนอากาศนั้นนี้ถึงกับสุดตกตะลึงกับภาพที่เห็น ‘ยู่หยาน’ไม่เคยเห็นอักขระจารึกของข่ายเวทย์ใดไหนเลยจะสามารถเปลี่ยนรูปแบบได้ด้วยตัวมันเองมาก่อน และยังจะแปรเปลี่ยนเป็นไปในค่ายกลที่มีความซับซ้อนขั้นสูงมากขึ้นอีก
ยิ่งไปกว่านั้นอีกที่ออร่าที่ปลดปล่อยมาจากดาบเทพอัสนีดาวตกนั้นยังทำให้เธอรู้สึกครั่นคร้ามทีเดียวพลังที่ปล่อยออกมานั้นพิสุทธิ์ก้าวข้ามยิ่งกว่าพลังแห่งกฎเสียอีก!
หลังจากที่ได้รับรู้ถึงความพิเศษของดาบใหญ่เล่มนี้ เทพธิดายู่หยานได้ระลึกความจำบางอย่างได้ในบัดดลและรู้สึกตกใจอย่างมาก
” ดาบเล่มนี้คือดาบเทพอัสนีดาวตกมิใช่หรือ? ได้มีเรื่องที่กล่าวไว้ว่าแม้นอัสนีเทพเองยังมิอาจควบคุมดาบนี้ได้อย่างบริบูรณ์ หลังจากครั้งเมื่อสายฟ้าเทพเจ้าของอัสนีเทพได้ดับสูญไป หาได้มีใครได้พบดาบนี้ไม่ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าดาบนี้จะได้เนี่ยหลี่ครอบครองเป็นเจ้าของ “
ดาบเทพอัสนีดาวตกที่แสนลึกลับเป็นปริศนาสุดหยั่งเล่มนี้ที่แม้แต่อัสนีเทพ ณ กาลนั้นยังมิอาจเข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้! มีเล่ากล่าวไว้ว่าดาบนี้ถูกหลอมและตีขึ้นจากอุกกาบาต และซึ่งมิใช่ของบนโลกใบนี้
หลังจากได้เห็นรูปแบบอักขระจารึกของค่ายกลปริศนาที่ปรากฎขึ้นใหม่รายล้อมห่อหุ้มอยู่รอบๆ’เนี่ยลี่’และพรรคพวกอีกสิบคนแล้ว ความสงสัยคลางแคลงในใจของ’ยู่หยาน’ยิ่งเพิ่มมากเป็นทวีคูณ เธอมิอาจรู้ได้เลยว่า ถ้าเธอจะดึง’เนี่ยหลี่’และพวกออกจากข่ายเวทย์นี้ แล้วอักขระจารึกของข่ายเวทย์จะส่งผลใดต่อ’เนี่ยลี่’
ทั่วทั้งอักขระจารึกของข่ายเวทย์นั้นเปล่งพลังประกายแสงสว่างสุกใสสวยงามพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมื่อนดั่งเสาสวรรค์ขนาดใหญ่
‘เนี่ยหลี่’ขมวดคิ้วเมื่อเขารู็สึกถึงสายฟ้าที่อยู่ในขอบเขตวิญญาณนั้นกลายเป็นดั่งใยแมงมุมที่เริ่มขยายออกไปจนทั่วบริเวณของขอบเขตวิญญาณ ในขณะที่เนี่ยลี่พยายามรับรู้ให้ได้ว่าสายฟ้านั้นจะขยายไปยังที่ใด ‘เนี่ยหลี่’สัมผัสได้ถึงร่างๆหนึ่งได้ปรากฏขึ้น
ณ บัดดลในขอบเขตจิตวิญญาณของ’เนี่ยลี่’ ร่างนั้นคือ เอี้ยจื่ออวิ้นนั่นเอง เธอนั่งอย่างสงบราวกับว่าเธอกำลังนั่งอยู่อยู่ท่ามกลางสายฟ้าที่ห่อหุ้มเธอไว้
จากภาพที่ได้เห็นเช่นนี้แล้ว’ เนี่ยลี่’ถึงกับตะลึงค้างไปชั่วขณะ เหตุไฉนใย ‘เอี้ยจื่ออวิ้น’ จึงได้ปรากฏอยู่ในขอบเขตวิญญาณของ’เนี่ยลี่’ในเวลาที่ขอบเขตวิญญาณกำลังจะถึงขึดจำกัดของเขาได้
จบตอนจ้า
ที่มา: