I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 215 ลำดับรูปแบบเชื่อมวิญญาณ

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 23504 | 2528 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

ทันใดนั้น, ‘เนี่ยหลี่’ก็ได้เห็นเงาร่างที่สองปรากฏขึ้น, มันเป็นของ’เซียวหนิงเอ๋อ’…

‘เซียวหนิงเอ๋อ’ก็นั่งสงบเงียบอยู่ตรงนั้นเช่นกัน เวิ้งวิญญาณของนางได้รับการผูกเชื่อมเข้ากับของ’เนียหลี่’

หลังจากนั้น; ‘ตู่ซือ’, ‘ลู่เปียว’ และ’ต้วนเจี้ยน’ ก็ได้ปรากฏขึ้น

อีกซักพักต่อมา;’เนียหลี่’ก็สัมผัสได้ว่าเวิ้งวิญญาณของเขาได้เชื่อมต่อผูกสนิทกับทั้งสิบคน ‘เนียหลี่’รู้สึกเหมือนกับว่าเขาสามารถนำพลังวิญญาณในเวิ้งวิญญาณของแต่ละคนไปใช้เวลาไหนก็ได้ตามสะดวกแถมยังสามารถกระจายแบ่งแจกจ่ายพลังวิญญาณของเขาให้แก่ใครก็ได้ในบรรดากลุ่มของพวกเขา

**สรุปง่ายๆ มุขแกมอธิบาย**
“เอี้ยจื้อหวิน เข้าสู่ปาร์ตี้” (ท้าวความจากตอน214)
“เซียวหนิงเอ๋อ เข้าสู่ปาร์ตี้”
“ตู่ซือเข้าสู่ปาร์ตี้”
“ลู่เปียว เข้าสู่ปาร์ตี้”
“เหวยหนานเข้าสู่ปาร์ตี้”
“จางหมิงเข้าสู่ปาร์ตี้”
“จูอวิจจวินเข้าสู่ปาร์ตี้”

“ต้วนเจี้ยนเข้าสู่ปาร์ตี้”
“เซียวซุ่ยเข้าสู่ปาร์ตี้”
“เนียหยู่เข้าสู่ปาร์ตี้”
**ทั้งหมดแบ่งค่าประสบการณ์เท่ากัน**

เรื่องลึกลับพิศวงและสุดแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้แม้แต่’เนียหลี่’เองก็ยังตกตะลึง อึ้ง…ทึ่ง…เสียว!! ในภพที่แล้วของเขา, ‘เนี่ยหลี่’ไม่เคยพบเจอกับอะไรเช่นนี้มาก่อน

ดาบเทพอัศนีดาวตกเล่มนี้มีเคล็ดวิธีใช้ลึกลับซ่อนเอาไว้อยู่ ซึ่งมันสามารถเชื่อมเวิ้งวิญญาณเขาเข้ากับของคนอื่นได้?

ในขณะที่’เนี่ยหลี่’รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างปฏิหาริย์ในเวิ้งวิญญาณของเขา, คนอื่นๆเองก็คงรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกัน

‘เอี้ยจื้อหวิน’,’เซียวหนิงเอ๋อ’และคนอื่นๆต่างตระหนักได้ว่าเวิ้งวิญญาณของพวกเขาถูกห่อหุ้มเส้นทางเครือข่ายพลัง. พวกเขาสามารถรู้สึกได้ว่าเวิ้งวิญญาณของพวกเขานั้นไหลเข้าไปรวมจนเป็นเวิ้งวิญญาณอันกว้างใหญ่ไพศาลและจำนวนพลังวิญญาณที่พวกเขาสามารถนำไปใช้ได้นั้นขยายเพิ่มขึ้นเป็นสิบหรือระบุแน่ๆก็๑๒เท่า สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาตกตะลึงด้วยความไม่เชื่อถืออย่างยิ่งว่ามันจะเป็นไปได้

*****ถ้าใครจำที่ผมอธิบายเรื่องขอบข่ายเวิ้งวิญญาณไว้ในตอนที่เนียหลี่บรรลุเข้าสู่ระดับโกลด์ได้ จะจินตนาการออกว่ามันขยายใหญ่ขึ้น๑๒ยังไง*****

พวกเขาจ้องดูเวิ้งวิญญาณอย่างละเอียดละออก็สังเกตได้ว่าเส้นกระแสลำเลียงพลังวิญญาณในเวิ้งวิญวิญญาณของพวกเขานั้นดูเหมือนจะเรียงตัวคล้ายรูปแบบจารึกอันแสนลึกลับบางสิ่งบางอย่าง

‘เนียหลี่’รับรู้ได้ถึงทุกเวิ้งวิญญาณของทุกคนในกลุ่ม, รูปแบบจารึกในเวิ้งวิญญาณของแต่ละคนนั้นต่างมีรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน เหมือนเป็นลำดับรูปแบบที่ไม่รู้จักมาก่อน(Unknown Array: ปรกติกลุ่มนักแปลเพจจะใช้คำว่า “อาณาเขต” แต่ผมว่าลำดับรูปแบบดูเท่ห์กว่า เช่น ค่ายกลหมื่นอสูร, ลำดับรูปแบบสังหาร)

หลังจากไตร่ตรองพวกมัน; เขาก็เริ่มเข้าใจพวกมันขึ้นอีกนิด ลำดับรูปแบบจารึกลึกลับนี้เชื่อมโยงเวิ้งวิญญาณของพวกเขาทั้ง ๑๑ คนเอาไว้

มันเกิดการสะท้อนขึ้นในเวิ้งวิญญาณของพวกเขาด้วย, ซึ่งมันก่อให้เกิดผลพวงขึ้น ดั่งปฏิหาริย์ครั้งยิ่งใหญ่

เพราะตราบใดที่พวกเขาไม่แยกห่างกันอยู่คนละมิติ, พวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของคนอื่นๆแม้ว่าจะอยู่ห่างก็ตาม ถ้าใครบางคนในกลุ่มอยู่ในสถานการณ์คับขันอันตราย พวกเขาทั้งหมดทุกคนก็จะสามารถรับรู้ถึงมันได้ในทันที และถ้าพวกเขาอยู่ในอาณาเขตเดียวกันแล้วมีเวิ้งวิญาณของใครซักคนเติบโตแข็งแกร่งขึ้น มันก็จะเกิดการสะท้อนระหว่างเวิ้งวิญญาณ, ทุกๆคนที่เชื่อมต่อก็จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตในครั้งนั้น แถมเวิ้งวิญญาณของคนอื่นๆก็ยังจะเข้าถึงระดับที่สูงขึ้นไปด้วย

พวกเขา ๑๑ คนได้สร้างรูปแบบเครือข่ายขึ้น ตราบเท่าที่สมาชิกใน ๑๑คนนี้อยู่ไม่ห่างจากสมาชิกคนอื่นซักคนมากไป, เมื่อการต่อสู้ประทุขึ้น ไม่ว่าจะใครก็ตามในบรรดาพวกเขา ก็ต่างได้รับประโยชน์จากสายใยแห่งพลังนี้อย่างมหาศาล ถ้าเทียบกับพลังเดิมๆของพวกเขา(ที่ไม่ใช้สายใยพลัง) อย่างแน่นอน ขีดจำกัดของการใช้พลังก็มากขึ้นด้วยเมื่อเทียบกับตอนที่ยังไม่มีสายใยแห่งพลังนี้

พวกเขาไม่เคยนึกคิดจินตนาการเลยว่าดาบเทพอัศนีดาวตกจะมีความสามารถเช่นนี้ด้วย

แม้ว่าพวกเขาทั้ง๑๑คนจะเชื่อมโยงกัน, แต่แกนหลักก็คือ’เนี่ยหลี่’ (หัวหน้าปาร์ตี้) เมื่อเขาคือแกนหลักของลำดับรูปแบบเชื่อมวิญญาณอันแสนลึกลับนี้; ถ้าหากเขาสิ้นชีพลง ลำดับรูปแบบเชื่อมวิญญาณทั้งหมดก็จะพังทลายลง

เช่นเดียวกัน,’เนียหลี่’เองก็สามารถถอดถอนใครออกการเชื่อมโยงก็ได้(เตะออกจากตี้), สามารถถ่ายโอนพลังวิญญาณของใครๆไปที่ไหนก็ได้ตามที่เขาปรารถนาและเมื่อใดก็ตามที่ทุกคนมุ่งจะใช้พลังโยชน์จากพลังงานกองรวมกองนี้, มันก็ต้องผ่านมาในเวิ้งวิญญาณของเขาก่อน

นี่มันเป็นเทคนิคลับที่น่าสะพรึงซะจริงๆเชียว!!

เขาประหลาดใจอย่างสุดแสนถึงก้นบึ้งหัวใจ บุคคลผู้ที่สร้างเคล็ดเทคนิคลับนี้ขึ้นมาตอนที่เขามีชีวิตอยู่จะต้องเป็นคนที่เก่งกาจทรงพลังอย่างมากและมีองค์ความรู้ความเข้าใจในเรื่องเวิ้งขอบข่ายพลังวิญญาณมากมายจนถึงขั้นเอกอุ

เมื่อลำดับรูปแบบเชื่อมวิญญาณถูกสร้างขึ้น; มันก็มีเรื่องน่าเสียดายอยู่อย่างนึง, ตราบใดที่ลำดับรูปแบบนี้ไม่ถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์ มันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเพิ่มใครเข้าสู่ลำดับรูปแบบนี้ได้อีก (ปาร์ตี้เต็มว่างั้นแถม ถ้าจะทำใหม่ก็ต้องยุบตี้เดิมก่อน สร้างใหม่ ชวนคนใหม่เท่านั้น เตะคนออกชวนคนใหม่เข้าก็ไม่ได้ *0*)

ทันทีทันใดนั้น, ‘เนี่ยหลี่’รู้สึกถึงพลังสัจธรรมที่อยู่ในร่างของเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไหลเข้าสู่เวิ้งวิญญาณของคนอื่นไปอย่างช้าๆ พลังสัจธรรมนั้นเหมือนดั่งเมล็ดพันธุ์เสียแล้ว เพราะมันได้ถูกปลูกบ่มเพาะไว้ในเวิ้งวิญญาณของทุกๆคน

เมื่อเวลาดำเนินผ่านไป, พลังสัจธรรมในร่างของ’เนียหลี่’นี้จะค่อยๆส่งผลต่อเวิ้งวิญญาณของทุกๆคนในกลุ่ม ซึ่งมันจะนำพาให้พวกเขาบรรลุเขาสู่ระดับแบล๊กโกลด์ได้อย่างรวดเร็วได้เลยทีเดียว

โดยในขณะที่การเพาะบ่มพลังของใครคนนึงมีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น คนอื่นๆก็จะมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย (แชร์ Exp. อ่ะว่างั้น) ความเร็วในการเพาะบ่มพลังนี้อาจจะเรียกได้ว่าเข้าขั้นระดับเหนือจินตนาการได้เลยทีเดียวเชียวแหละ…!! “ตามนั้นล่ะฮะท่านผู้ชม ไปดูข่าวต่อไป”วลีนี้คุ้นๆแฮะ ^_^”

‘เอี้ยจื้อหวิน’, ‘เซียวหนิงเอ๋อ’ และคนอื่นๆเปิดตาขึ้น

“เนี่ยหลี่, เจ้าเองสัมผัสได้เหมือนกันใช่ไหม? เวิ้งวิญญาณของพวกเราทั้งหมดได้เกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกๆขึ้น”

‘เอี้ยจื้อหวิน’ไต่ถาม’เนียหลี่’ด้วยความรู้สึกเป็นปริศนาในใจ

นอกเหนือจาก’เนียหลี่’, คนอื่นๆก็ยังคงไม่กระจ่างใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเวิ้งวิญญาณของพวกเขากันแน่

“มันก็ไม่มีอะไรหรอก”

‘เนียหลี่’เผยรอยยิ้ม

“เวิ้งวิญญาณของพวกเราได้ก่อเกิดประสานกันเป็นลำดับรูปแบบเชื่อมวิญญาณ”

จากนั้นเขาก็อธิบายวิธีใช้งานลำดับรูปแบบเชื่อมวิญญาณนี้ให้คนอื่นๆได้ฟัง

เมื่อได้ฟังจนเข้าใจทุกคนก็ตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์อันสุดแสนประหลาดพิลึกพิลั่นนี้จะเกิดขึ้นได้ พวกเขาสามารถนำพลังวิญญาณมาใช้ประโยชน์จากเวิ้งวิญญาณของคนอื่นๆได้? นี่มันไม่น่าอัศจรรย์เกิดไปหรอกหรือ?

“นี่มันเยี่ยมเอามากๆเลย”

‘ตู่ซือ’พูดขึ้นหลังจากนั่งเงียบอยู่ซักพัก

“อย่างน้อยเมื่อการปะทะเกิดขึ้น, พลังกำลังขีดความสามารถและความแข็งแกร่งของพวกเราจะทรงพลังมากขึ้นกว่าแต่ก่อน”

“อย่างไรก็ตาม, การอ่อนแรงจากการสูญเสียพลังวิญญาณก็เป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน เมื่อการปะทะเกิดขึ้น ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงไม่ให้พลังวิญญาณเหือดแห้ง อย่างเช่นโดยการพยายามไม่ใช้วิชาที่ใช้พลังวิญญาณเป็นจำนวนมากๆ”

‘เนียหลี่’กล่าวหลังจากไตร่ตรองอยู่สักครู่ มันจะเป็นการดีอย่างยิ่งที่จะงดเว้นจากการใช้วิชาเฉกเช่น ระเบิดหยินหยางเป็นต้น แต่สำหรับสนามพลังแรงดึงดูดหรือพลังอัสนีบาตร ไม่น่าจะเป็นปัญหานักหากจะใช้พวกมัน

“ฮาฮ่า, คราวนี้พวกเราก็ไม่ต้องกังวลแล้วล่ะว่าจะถูกทิ้งห่างจากการเพาะบ่มพลังของเจ้าสิเนาะ”

คนที่ตื่นเต้นที่สุดคนนึงเลยก็คือ’ลู่เปียว’ ไอ้เจ้าคนขี้เกียจสันหลังยาวคนนี้แรกเดิมทีเขาคิดว่าเขาคงไม่ต้องอุทิศเวลาฝึกหนักเพาะบ่มพลังวิญญาณอีกแถมการเพาะบ่มพลังของเขาก็ยังคงเพิ่มระดับแข็งแกร่งขึ้นได้อีกด้วย (ชิชะ มานั่งดูดเลเวลเลยว่างั้น 555+)

ด้วยเทคนิคการเพาะบ่มพลังวิญญาณของเจ้า แม้ว่าเจ้าจะไม่ฝึกหนัก;ระดับการเพาะบ่มพลังของเจ้าก็รุดหน้าเพิ่มขึ้นไวอยู่แล้ว อย่างไรก็แล้วแต่ หากเจ้าขี้เกียจแล้วหน่วงทุกๆคนลง ข้าก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากถอดถอนเจ้าออกจากลำดับรูปแบบเชื่อมวิญญาณนี้

‘เนียหลี่’ถอนหายใจออกมาพร้อมทั้งส่ายหน้า

(หึหึ…ดูดเวลมากหน่วงตี้ พระเอกเราเตะออกเลยนะคร้าบบ โหดสัส..วัดซับแมน มว๊ากก)

“อย่านะ!! เนียหลี่ นายไม่เห็นแก่ความความสัมพันธ์ดั่งพี่น้องของเราเลยรึ”

‘ลูเปียว’กล่าวด้วยใบหน้าที่ดูขมขื่น

“นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับตัวนายเองแล้วล่ะ”

‘เนียหลี่’ยักไหล่

‘ลูเปียว’ดูหงอยเหมือนดั่งลูกโป่งถูกปล่อยลม มองดูเขา; ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

“ในขณะที่พวกเราฝึกกันอยู่ ตระกูลหวู่กุ้ยพวกมันเริ่มการโจมตีเมืองกลอรี่ของเราแล้ว โชคดีที่จำนวนยอดฝีมือที่พวกมันส่งมานั้นมีไม่มาก พวกเราต้องเพาะบ่มให้รวดเร็วขึ้น มันจะดีที่สุดหากพวกเราทุกคนก้าวขึ้นสู่ระดับแบล๊กโกลด์และมุ่งเข้าสู่ระดับตำนานให้ไวที่สุด!”

‘เนียหลี่’กล่าวหลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่ ตอนนี้เรายังมีวิญญาณอสูรอยู่อีกมากที่เรายังไม่ได้ดูดซับ ดังนั้นพวกเรายังสามารถเพาะบ่มกันต่อได้

หลังจากเข้าสู่ระดับแบล๊กโกลด์แล้ว, เคล็ดการดูดกลืนจิตอสูรก็จะไม่มีประสิทธิภาพเหมือนที่ควรจะเป็นอีก นอกจากเสียแต่ว่าพวกเขาจะหาสัตว์อสูรวิญญาณระดับตำนานให้กับตัวพวกเขาเองได้ แต่อย่างั้นก็เถอะ!! สัตว์อสูรวิญญาณระดับตำนานก็ไม่ได้หากันได้ง่ายๆใช่ไหมล่ะ?

แต่สำหรับตอนนี้, พวกเขาคงต้องหยุดเอาไว้ที่ระดับแบล๊กโกลด์ก่อนแล้วค่อยคิดหาหนทางอื่นเพื่อจะเพิ่มพูนการเพาะบ่มของพวกเขาต่อไป

หลังจากได้ยินที่’เนียหลี่’พูด, ทุกคนก็ช่วยไม่ได้เลยที่จะรู้สึกตื่นเต้นสุดใจ ก่อนที่จะได้รู้จักกับ’เนียหลี่’, พวกเขาไม่เคยคิดว่าจะสามารถบ่มเพาะพลังได้เร็วขนาดนี้ จนได้มายืนอยู่ ณ จุดที่พวกเขาสามารถท้าทายกับการก้าวเข้าไปสู่ระดับตำนานได้ ควรทราบว่าแท้จริงแล้วพวกเขาเพิ่งเริ่มจะฝึกฝนบ่มเพาะพลังมาได้ไม่นานเท่าไหร่นัก?

แม้กระนั้น, พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่า’เนียหลี่’จะนำพาพวกเขาเพาะบ่มจนบรรลุไปไกลได้แค่ไหนเพียงใด มันเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะจินตนาการคาดฝันได้ถูกจริงๆ

ณ หุบเขาอันห่างไกลนับพันลี้จากเมืองกลอรี่ ‘เอียฮัน’ยืนอยู่ในป่าอันเหือดแห้งแห่งหนึ่ง

เขายังคงอยู่เบื้องหลังและยังไม่ได้แสดงตัวเข้าร่วมการต่อสู้ ทั้งหมดก็เพราะการเพาะบ่มพลังเขาอยู่แค่ระดับโกลด์เท่านั้น นอกเหนือจากนั้น, ตัวตนของเขาเองนั้นก็มีความสำคัญยิ่งแถมยังเป็นช่างจารึกอีกด้วย โดยทั่วไปแล้ว, เขานั้นก็ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการต่อสู้อยุ่แล้ว และในมุมมองของเขา, ด้วยยอดฝีมือจากตระกูลหวู่กุ้ยที่เข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ กำลังพวกเขาก็น่าจะเพียงพอที่จะทำลายเมืองกลอรี่ให้สิ้นซากลงได้

เขามีข้อเรียกร้องต่อตระกูลหวู่กุ้ยเพียงแค่คำขอเดียวนั้นก็คือละเว้นชีวิต’เอี้ยจื้อหวิน’ไว้ให้เขา

“พ่อบุญธรรม, ท่านบีบให้ข้าทำเช่นนี้เองนะ”

ร่องรอยแววตาอันมุ่งร้ายแสนร้ายกาจฉายออกมาจากตาของ’เอียฮัน’

“ข้าก็แค่ต้องการเป็นผู้ปกครองเมืองกลอรี่เท่านั้นเอง ในเมื่อท่านบีบบังคับข้าจนมาถึงจุดๆนี้, ข้าก็จะเอี้ยจื้อหวินเอามาครอบครองแทน แม้ว่ามันจะหมายถึงการทำลายเมืองกลอรี่ลงให้ราบเป็นหน้ากลองก็ตามทีเถอะ”

(อารมณ์ ศักรินทร์ ดาวร้าย เฮ้ย…เฮ้ย…เฮ้ย ควบ อนาคิน สกายวอร์คเกอร์ เลยทีเดียวนะพ่อคุณ)

‘เอียฮัน’จินตนาการถึงภาพเมืองกลอนี่ที่ล่มสลายลงขึ้นในหัว ร่องรอยความสุขสุดแสนก็เผยขึ้นบนใบหน้าของเขา ตั้งแต่ความฝันของเขาที่จะได้เป็นเจ้าเมืองถูกทำลายลงสิ้น, และการทรยศต่อเมืองกลอรี่ของเขา ‘เอียฮัน’ก็มีแรงกระตุ้นให้ทำลายทุกสิ่งลงแทนเสีย

หลังจากนั้นพักหนึ่ง, ใครบางคนบางกลุ่มก็มุ่งเขาตรงมาทิศทางที่เขายืนอยู่อย่างฉับพลัน

นั่นก็คือตระกูลหวู่กุ้ย สิ่งที่เขาแปลกใจเล็กๆนั้นก็คือกองทัพที่กลับมาดูยุ่งเหยิงสับสน แม้แต่ยอดฝีมือระดับตำนานก็หิ้วปีกกันกลับมา จากสภาพตรงหน้าแล้วช่างดูอนาจใจนัก

‘เอียฮัน’เดินออกไปเพื่อไตร่ถาม

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกท่านจึงกลับมาสภาพนี้? เมืองกลอรี่ล่ะ?”

‘หวู่หยู่’, ผู้ซึ่งบาดเจ็บหนักที่สุดเหลือบมามอง’เอียฮัน’อย่างดุร้ายและกระชากปกเสื้อเขาอย่างโกรธเกรี้ยว

“พวกเราพ่ายแพ้มาไง! ไอ้น้อง! นี่เจ้าหลอกพวกเราใช่ไหม? เจ้าบอกพวกข้าไม่ใช่หรือว่า พวกมันนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากแค่ค่ายกลกากๆที่แค่สามารถกักขังยอดฝีมือระดับตำนานอย่างมากก็ได้แค่ ๑-๒ คนเท่านั้น บัดซบเอ้ย! พวกทั้งหมดถูกขังอยู่ในนั้นแถมยังพวกเราเกือบเอาชีวิตรอดหนีตายออกมาไม่ได้!”

(เออ พวกแกฟังผิดกันหรือเปล่า ตกเลข๑ข้างหน้าไปตัวเดียวเองนะ ถึงกับหนีตายกันกลับมาเชียวเรอะ กร๊ากกกก)

ลำดับรูปแบบนั้นกักขังพวกท่านทั้งหมดเอาไว้ได้? มันจะเป็นไปได้ยังไง? แววตาของ’เอียฮัน’เบิกกว้างขึ้น แม้แต่เขาเองก็ไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของค่ายกลหมื่นอสูรหรือนี่

เขารู้เพียงแค่ว่ามันมีจิตอสูรวิญญาณระดับแบล๊คโกลด์อยู่ในค่ายกลนี้อยู่หมื่นตัว ทั้งที่มีแค่จิตอสูรวิญญาณระดับแบล๊คโกลด์อยู่แค่หมื่นตัว ตามข้อมูลนั้น; แค่ยอดฝีมือระดับตำนานสัก๒-๓ คนก็น่าจะมากเกินพอที่จะสังหารพวกมันจนหมดสิ้นสิ?

เขาไม่เคยคาดฝันนึกคิดว่าค่ายกลหมื่นอสูรนี้จะทรงพลังถึงเพียงนั้น!

(เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ข้อมูลนั้นสำคัญ ข้อมูลผิดอาจชิบหายได้ทั้งกองทัพ)

“หวู่หยู่, ปล่อยเขาเถอะ ถ้าหากเจ้าเด็กนี่คิดจะวางแผนร้ายอะไรพวกเรา เขาคงไม่ยอมบอกที่ตั้งเมืองกลอรี่หรอก”

‘หวู่หมิง’กล่าวและดึง’หวู่หยู่’กลับมา ทั้งหมดก็เพราะ ‘เอียฮัน’ยังคงเป็นนักจารึกขั้นต้น ตัว’เอียฮัน’ยังคงมีประโยชน์ต่อพวกเขาอยู่

“ฮืมมม”

‘หวู่หยู่’ถอนหายใจอย่างเย็นชาและผลัก’เอียฮัน’ออกไป

“แม้ว่าค่ายกลหมื่นอสูรจะทรงพลัง, แต่มันก็ไม่สามารถเทียบเคียงพลังสัจธรรมของยอดฝีมือระดับเซียนได้ ดูเหมือนว่าพวกเราคงต้องเชิญบรรพชนระดับเซียนให้ลงมือเสียแล้ว”

‘หวู่หมิง’กล่าวด้วยแววตาเยือกเย็นอำมหิตที่ฉายออกมาจากตาของเขา เอาจริงๆครั้งนี้พวกเขาก็ไม่ได้กลับมามือเปล่า พวกเขาได้เห็นว่าเมืองกลอรี่เฟื่องฟูเพียงใดและมันยิ่งใหญ่มั่งคั่งมากมายเพียงไหน

ไม่ว่ายังไงก็ตาม, พวกเขาจะต้องยืดครองมันให้จงได้ เมื่อพวกเขาได้ครอบครองเมืองกลอรี่ ขุมกำลังของพวกเขาก็จะขยายตัวยิ่งใหญ่ขึ้นหลายเท่าเป็นแน่แท้!

‘เอียฮัน’เหลือบมองไปในทิศทางที่เมืองกลอรี่ตั้งอยู่แล้วแววตาเขาก็เผยความชั่วร้ายขึ้น ไม่เคยคิดเลยว่าค่ายกลหมื่นอสูรจะทรงพลังมากจนสามารถกักขังยอดฝีมือระดับตำนานไว้ได้มากมาย

เขาจำได้ว่า’เอียเซิง’เคยพูดให้ฟังครั้งนึงว่าค่ายกลนี้ถูกจัดวางโดย’เนียหลี่’

“ดังนั้นค่ายกลหมื่นอสูรก็น่าจะร้ายกาจแหละ”

‘เอียฮัน’กำหมัดแน่จนเส้นเลือดที่แขนเขาปูดโปน ด้วยบุคคลิคของ’เอียเซิง’ที่เป็นธรรมไม่เอนเอียงและค่ายกลอันทรงพลังที่’เนียหลี่’ได้ติดตั้งวางไว้ แม้น’เอียเซิง’จะถูกบีบให้วางมือจากตำแหน่งเจ้าเมือง เขาก็คงยินดีตกลง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในงานเลี้ยงต้อนรับเขา ‘เนียหลี่’ถึงไม่มีท่าทางว่าจะเกรงกลัวสะทกสะท้านใดๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะ’เนียหลี่’, อะไรๆคงจะง่ายไม่ยุ่งยากอะไรแบบนี้! ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาควรจะได้ควรจะมีถูกไอ้ชั่ว’เนียหลี่’ฉกชิงไปเสียซะทั้งหมด

กองทัพตระกูลหวู่กุ้ยรีบเร่งกลับเขาไปในหุบเขาอย่างรวดเร็ว

ณ จวนเจ้าเมือง, ห้องโถงกลาง

(เปาบุ้นจิ้นเปิดศาลลล แท้น แทน แท้นแทน แทนแท้นนนน ….. ไม่เกี่ยวกันเล้ย โทดๆผิดเรื่องอีกแล้ว 555+ @)
***จะจบแล้ว ขอสักมุขแก้คนดูค้าง อิอิ***

“พวกเจ้าทุกคนบรรลุเข้าสู่ระดับโกลด์5ดาวและเพาะบ่มจนถึงขอบเขตที่จะเข้าสู่ระดับแบล๊กโกลด์แล้ว? ส่วนเนียหลี่นั้นเข้าสู่ระดับแบล๊กโกลด์ไปแล้ว”

เมื่อ’เอี้ยเซิง’ได้รับข่าวจาก’เอียจือหวิ่น’ก็ตกตะลึงสุดๆ เขาไม่คิดจินตนาการว่าการเพาะบ่มพลังของเนียหลี่และพวกพ้องของเขาจะเพิ่มพูมไวยิ่งยวดขนาดนี้

ระดับโกลด์ก็จัดว่าเป็นยอดอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์แล้ว ซึ่งปรกติแล้ว พวกเขาน่าจะใช้เวลาสามปีเป็นอย่างต่ำ (สำหรับขั้นโกลด์นะ)

อย่างไรก็ตาม, นี่พวกเขาฝึกกันมานานแค่ไหนกันนะ?

‘เนียหลี่’และคนอื่นๆนั้นมีระดับความเร็วการเพาะบ่มถือว่าเรียกได้ว่าเข้าขั้นสัตว์ประหลาด! ไม่รู้ว่า’เนียหลี่’ใช้เวลามานานแค่ไหนจนถึงระดับแบล๊กโกลด์? แล้วคนอื่นๆล่ะก็ทิ้งระยะไม่ห่างกัน? เขานึกย้อนหลังไปว่าเขาเคยเพาะบ่มมาแต่กาลก่อนยังไง, น่าจะใช้เวลาเกือบสิบปีเลยกระมังที่เขามาถึงระดับแบล็กโกลด์ได้

จนเมื่อเขามองดูวิธีเพาะบ่มที่’เนียหลี่’และพวกพ้องของเขาทำได้และเป็นอยู่ในตอนนี้ ‘เอียเซิง’ก็ช่วยไม่ได้เลยที่จะฝืนยิ้มอย่างขมขื่น

เขาเคยถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะเบอร์หนึ่งของเมืองกลอรี่ แต่เมื่อเขาเปรียบเทียบเขากับ’เนียหลี่’และพวกพ้อง เขาก็ไม่สามารถเทียบใดๆได้ จนแทบไม่ติดฝุ่น

ไงก็ตาม, ‘เนียหลี่’ก็ไม่ได้สนใจอะไรในเรื่องนี้ ในภพก่อน, ‘เนียหลี่’เองก็ใช้เวลากับตำราจิตอสูรท่องเวลานับสิบปีเช่นกันถึงจะบรรลุเข้าสู่ระดับแบล็กโกลด์ได้ ในภพนี้,โดยการเดินตามเส้นทางแห่งเต๋าอีกครั้งและด้วยเคล็ดการเพาะบ่มอันทรงพลัง, ความเร็วประมาณนี้มันก็ไม่ได้มากมายอะไรเกินไป จนน่าตกใจหรอกนะ….
(เหอะๆ เอาที่เฮียสบายใจเลยจ้า)

***เรื่องราวจะเป็นอย่างไงต่อไป ศัตรูบรรพชนระดับเซียนจะโผล่มาหรือไม่ โปรดติดตามอ่านตอนหน้า****

 

ให้เครดิตและเสียงปรบมือกับกลุ่มนักแปลที่มาช่วยผมแปลในบางท่อนบางตอนทุกๆท่าน ด้วยนะครับ

แปลโดย: IDeaPaeTonG นะแจ๊ะ… (ความคิดน้อยๆของปลาทอง)

ปล. ใครอ่านชื่อคนแปลว่า แพ้ท้อง หรืออะไรแปลกอีก แสดงตัวมาเลยนะ มีคนเอาข่าวมาบอก กินข้าวอยู่ข้าวแทบพุ่ง =.=”

จบตอน…

ที่มา : 

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments