I-Here.info [ไอ้-เหี้ย ดอท อินโฟ]

Tales of Demons & Gods (妖神记) ตอนที่ 231 จิตวิญญาณเทพที่แตกสลาย

| Tales of Demons & Gods (妖神记) | 21197 | 2529 วันที่แล้ว
ตอนที่แล้วตอนต่อไป

“ มังกรซอมบี้ เจียวหลง อาศัยอยู่ในบึงอย่างสงบสุข แต่ตอนนี้ มีบางคน กำลังตามล่ามันอยู่ อย่างไรก็ตาม ด้วยสมบัติที่ค่านั่นทำให้มันถูกหมายหัว ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเอาไข่มุกสีชาดนั่นออกจากตัวเจ้าและช่วยไม่ให้เจ้าถูกฆ่า!”

‘เซี่ยวหยู่’ห้องตะโกนขณะที่กระโจนเข้าใส่ พลันเกิดมังกรวารีขึ้นกลางอากาศเข้ารัดมังกรซอมบี้ เจียวหลงเหมือนดั่งเสื้อคลุมที่ผูกรัดอย่างแน่นหนา  ‘เซี่ยวหยู่’ โฉบไปข้างๆมังกรซอมบี้ เจียวหลง ยื่นมือของเขาออกไปอย่างระมัดระวัง และดึงเอาไข่มุกสีชาดออกจากหน้าผากของเจ้ามังกรซอมบี้ เจียวหลง  ร่างกายสีแดงชาดของเจ้ามังกร เจียวหลงกลับกลายมาเป็นร่างเดิมก่อนหน้า

‘เซี่ยวหยู่’โบกมืออกไปทำให้มังกรวารีพลันหายวับไป ปลดปล่อยเจ้ามังกรซอมบี้ เจียวหลง มันมองเซี่ยวหยู่อย่างหวาดกลัวจากนั้นก็กระโจนมุดน้ำหนีไปในบึง โดยไม่มีความคิดที่จะแย่งมุกสีชาดคืนไปจากมือ’เซี่ยวหยู่’แม้แต่น้อย

‘เซี่ยวหยู่’ลดระดับลง และค่อยๆลงมายืน ตรงขอบบึงอย่างนุ่มนวล
เขามุ่งตรงไปหา’เสี่ยว หนิงเอ๋อ’และพูดขึ้นว่า

“หนิงเอ๋อเจ้าได้ผสานเข้ากับวิหคสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าไข่มุกนี้จะไม่ได้เหมาะกับเจ้าเป็นพิเศษ แต่มันจะช่วยในการบ่มเพาะพลังของเจ้าได้อย่างมาก ข้าจะให้มันแก่เจ้า!”

ได้ยินคำพูดของ’เซี่ยวหยู่’   ‘เสี่ยว หนิงเอ๋อ’รีบส่ายหัวทันทีแล้วพูดขึ้น

“ขอโทษด้วย สมบัติชิ้นนี้ มีค่าเกินกว่าที่ข้าจะรับได้”

นางเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น รึ’เซี่ยวหยู่’จะสนใจนาง?  อย่างไรก็ตามนางรีบตอบปฏิเสธเพื่อไม่ให้’เนี่ย หลี่’เข้าใจผิดในความสัมพันธ์ของนางกับ’เซี่ยวหยู่’

“ในเมื่อ หนิง เอ๋อปฏิเสธที่จะรับมัน ทำไมท่านไม่มอบมันให้ข้าหล่ะ?”

‘เนี่ย หลี่’ยิ้มขณะที่เดินไปอยู่ข้างหน้า’หนิง เอ๋อ’แล้วฉกไข่มุกมาจากมือของ’เซี่ยวหยู่’

‘เซี่ยวหยู่’ถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูก ในโลกนี้ยังมีคนหน้าด้านขนาดนี้อยู่อีกหรอ? เขอบอกเมื่อไหร่ว่าจะมอบไข่มุกให้’เนี่ยหลี่’?คือพระเอกแมร่งฉกไปดื้อๆ เป็นผมก็

“งั้น มันก็เป็นของเจ้า”

เออ…กูให้มึงก็ได้!!!

‘เซี่ยวหยู่’เลยตามน้ำไปแม้ว่าไข่มุกนี้จะไม่ธรรมดา แต่’เซี่ยวหยู่’เห็นว่ามันไม่ได้สำคัญมากมายอะไร

‘เนี่ย หลี่’หยิบไข่มุกไปแล้วหันมาขยิบตาให้’เสี่ยวหนิงเอ๋อ’ ไข่มุกนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะพลังของ’หนิงเอ๋อ’อย่างมหาศาล

อย่างไรก็ตาม ถ้าหาก’หนิงเอ๋อ’รับไข่มุกนี้มา นางก็จะติดหนี้บุญคุณ’เซี่ยวหยู่’อย่างมาก แต่ถ้าหาก’เนี่ย หลี่’รับมันมาแทน นางก็ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้มากนัก

“งั้น ข้าก็ขอขอบคุณมากนะ”

‘เนี่ย หลี่’โบกมือย๋อยๆ ในความคิด’เนี่ย หลี่’ เมื่อเขาติดหนี้ใครบางคนแล้วหล่ะก็ หากมันจำเป็นเขาจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน

‘เอีย จืออวิ๋น’อดหัวเราะไม่ได้ นางเคยโดน’เนี่ยหลี่’ทำหน้าด้านใส่มาก่อน ในตอนที่’เอีย ฮั่น’มอบสร้อยข้อมือหยกน้ำแข็งให้นาง ‘เนี่ยหลี่’ก็ได้รับมันมาแทนนาง แล้วเขาก็มอบให้แก่นางภายหลัง แม้นางไม่ได้อยากจะสวมมันก็ตาม

เมื่อเห็นการแสดงออกในสายตาของ’เนี่ย หลี่’ หน้าของ’เสี่ยว หนิงเอ๋อ’แดงขึ้นเล็กน้อย นางผยักหน้ารับโดยไร้คำพูดใดๆ

“ไปกันเถอะ!”

‘เนี่ย’พูดขึ้นขณะที่ เตรียมตัวออกตามหาผลแห่งจิตวิญาณ พวกเขายังพอมีเวลาก่อนถึงการคัดเลือก

“น้องชายเนี่ย หลี่ ที่เจ้าเข้ามาที่นี่ เพราะต้องการจะเป็นลูกศิษย์ของจ้าวนรกานต์อย่างนั้นรึ? ด้วยความสามารถของน้องชายเนี่ย หลี่ แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของจ้าวนรกานต์ อนาคตของเจ้าจะต้องน่าทึ่งอย่างแน่นอน”

‘เซี่ยวหยู่’พลันหัวเราะขึ้น

“ข้าไม่ได้สนใจจะเป็นลูกศิษย์ของจ้าวนรกานต์หรอก แต่ข้าอยากจะช่วยวางอนาคตให้เพื่อนของข้า และหาอาจารย์ดีๆให้พวกเขาสักคน การจะอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ อย่างแรกคนหนุนหลัง ต้องยิ่งใหญ่ เหมือนดั่งอาศัยใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ มีอัจฉริยะมากมายที่ล้มเหลวเพราะไม่มีคนคอยสนับสนุน”

‘เนี่ย หลี่’ตอบด้วยคำพูดของ’เนี่ย หลี่’ ‘เซี่ยวหยู่’ถึงกับหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว แสดงว่า’เนี่ย หลี่’พาเพื่อนของเขาเข้าร่วมการคัดเลือกเพราะต้องการได้รับการหนุนหลัง?

“น้องชายเนี่ย หลี่ทำไมเราไม่มาหารือกันสักหน่อยหล่ะ?”

‘เซี่ยวหยู่’ส่งเสียงพูดขึ้น

“หากเจ้ายกหนิงเอ๋อให้แก่ข้า ข้าจะเป็น คนหนุนหลัง ให้เจ้าเอามะ?”

ได้ยิน’เซี่ยวหยู่’ พลันปรากฏประกายเย็นเยือกจากดวงตา’เนี่ย หลี่’

“หนิงเอ๋อไม่ใช่สิ่งของ นางไม่สามารถถูกยกให้ใครก็ได้ หากนางชอบเจ้า ข้าก็จะไม่ขวางทางเจ้า อย่างไรก็ตามหากนางไม่ได้ชอบเจ้า แล้วเจ้ายังตามตอแย ข้าคงต้องเสียมารยาท”

‘เซี่ยวหยู่’คิ้วกระตุกเล็กน้อยแล้วหัวเราะขึ้น

“ข้าแค่ล้อเล่นหน่ะ”

ดูจากการแสดงออกของ’เซี่ยวหยู่’   ‘เนี่ยหลี่’บอกไม่ได้เลยว่าเขาแค่ล้อเล่นหรือจริงจังกันแน่  แต่ไม่ว่าอย่างไร’เนี่ย หลี่’ก็ไม่พอใจ’เซี่ยวหยู่’ เพราะ’เซี่ยวหยู่’จุดประเด็นเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะความต่างกันของพลัง ‘เนี่ย หลี่’คงต้องวางมวยกันบ้างหล่ะ’เซี่ยวหยู่’เคลื่อนมือของเขาออกไป  ทันใดนั้นปิ่นปักผมก็ลอยกลับมาหาเขา

ก่อนหน้านี้ ‘เซี่ยวหยู่’ใช้ปิ่นปักผมนี้สะท้อนกลับหอกบินอัศนีบาตรของ’ชางหมิง’ ฝีมือการสร้างปิ่นหยกชิ้นนี้ช่างประณีต มันดูโปร่งแสงและเป็นประกาย พื้นผิวของมันปลดปล่อยกระแสพลังมาเป็นระลอก อย่างไรก็ตาม

เมื่อดูจากความประณีตบนปิ่นหยกนี้แล้ว ช่างฝีมือผู้นี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ ปิ่นหยกชิ้นนี้ช่างงดงามไร้ที่ติ เนี่ย หลี่อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำกับตัวเอง

“มีชายหนุ่มที่ใช้ปิ่นหยกเป็นอาวุธจริงๆรึนี่”

‘เนี่ยหลี่’มองไปยังนิ้วมือของ’เซี่ยวหยู่’ที่กำลังคีบปิ่นปักผมอยู่ นิ้วเหล่านั้นช่างเรียวยาว นิ้วมือของของเขามีสีขาวดั่งหยกดูคล้ายนิ้วมือของหญิงสาว ที่ในชีวิตของนางไม่เคยแตะงานบ้านงานเรือนแม้แต่น้อย

‘เนี่ยหลี่’จ้องเซี่ยวหยู่อยู่นานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะคิกๆ ‘เซี่ยวหยู่’ดูสวยเกินไป จนดูไม่เหมือนผู่ชาย

เมื่อสัมผัสได้ว่า’เนี่ย หลี่’หัวเราะเยาะ ‘เซี่ยวหยู่’กระแอมเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า

“นี่เป็นของดูต่างหน้าจากแม่ข้าหน่ะ”

‘เนี่ย หลี่’ยักไหล่แล้วพูดสวนกลับไปว่า

“เจ้าจะมาบอกข้าทำไม? ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลยนะ”

ประมาณว่า  ใคร…ใครถาม?

“นี่เจ้า!!! “

‘เซี่ยวหยู่’ไม่พอใจมากเพราะการแสดงออกของ’เนี่ย หลี่’นั้นบอกแทนคำพูดได้ทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม ไม่นานนัก’เซี่ยวหยู่’ก็สงบใจลงได้และไม่ใส่ใจกับสิ่งที่’เนี่ย หลี่’พูด  พวกเขา 3 คนเดินไปพร้อมกับ’เนี่ย หลี่’ เพื่อเสาะหาผลแห่งจิตต้นกำเนิดต่อ

ในเวลาเดียวกัน ในส่วนอื่นของชั้นแรกของดินแดนมรณะ 9 ชั้น ‘ลู่เปียว’  ‘ตู่ เซอ’ ‘ต้วน เจี้ยน’  และอีก 4คน เดินอยู่ด้วยกัน  ตลอดทางที่ผ่านมา พวกเขาออกตามหาคนอื่นๆและในระหว่างที่กำลังตามหา’เนี่ย หลี่’  ‘เอีย จืออวิ๋น’ และ’เสี่ยว หนิงเอ๋อ’ พวกเขาก็ได้พบกับผลแห่งจิตต้นกำเนิด

“ในที่สุดพวกเราก็เจอผลแห่งจิตต้นกำเนิด!”

ร่างกายของ’ลู่ เปียว’เต็มไปด้วยบาดแผลจากการต่อสู้ เขาแค่นลมหายใจแล้วพูดขึ้น

“เจ้าพวกงี่เง่า คิดจะมาแย่งผลแห่งจิตต้นกำเนิดของพวกเรา พวกมันช่างรนหาที่ตาย”

ห่างออกไปไม่ไกลนัก คนสิบกว่าคนนอนกองอยู่บนพื้น พวกมันหายใจรวยรินใกล้ตาย

คนเหล่านั้นนอนจมอยู่ในความสิ้นหวัง พวกเขาเป็นพวกแรกที่พบผลแห่งจิตต้นกำเนิด

เมื่อ’ลู่ เปียว’มีปากเสียงกับคนเหล่านั้น ‘ลู่ เปียว’ยืนยันว่าพวกเขามาก่อนย่อมมีสิทธิ์ครอบครอง คนพวกนั้นเลยรุมกระทืบเขาซะ ‘ลู่ เปียว’ทำได้เพียงโกรธแค้น เมื่อเจอกับ’ต้วน เจี้ยน’   ‘ลู่ เปียว’เลยให้’ต้วน เจี้ยน’จัดการคนเหล่านั้น

เจ้าคนทีมีปีกนั่นเป็นปีศาจชนิดไหนกัน? ไม่ว่าพวกเขาจะโจมตีไปแค่ไหนก็ไม่ระคาย ไม่กระเทือนเลย นอกจากนั้นความแข็งแกร่งของเขาก็น่ากลัว เขาเกือบจะหักกระดูกได้ในทีเดียว หากมีใครคนนึงลูกขึ้นมาก็จะถูกอัดกลับลงไปนอน เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนไม่มีใครลุกขึ้นมาอีก

“ เฮ่อ!…เฮ่อ!…เจ้าพวกนี้หนิบังอาจมารุมอัดข้า ไม่รู้ซะแล้วแล้วว่าข้ามีกองหนุนชั้นเยี่ยม”

‘ลู่ เปียว’แค่นลมหายใจใส่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขามองกลับมาที่รอยช้ำ รอยบวมบนร่างกายก็อดหดหู่กับตัวเองไม่ได้

ในขณะที่’ต้วน เจี้ยน’แลกหมัดกับฝ่ายตรงข้ามมากมาย แต่กลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ‘ลู่เปียว’มองดูร่างกาย’ต้วน เจี้ยน’กับของตัวเอง แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เปรียบเทียบร่างกายของเขากับ’ต้วน เจี้ยน’แล้วช่างน่าผิดหวังเสียจริงๆ

ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องฝึกให้หนักเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแกร่งขึ้น มิฉะนั้นในการต่อสู้ครั้งต่อไป เขาคงเป็นได้แค่คนที่ถูกอัดพ่ายแพ้กลับมาอีกแน่ หลังจากที่ได้ผลแห่งจิตต้นกำเนิดมา พวกเขาก็ออกค้นหาต่อ

เมื่อ’ลู่ เปียว’และพรรคพวกเดินจากไป คนเหล่านั้นก็ลุกขึ้นมาแล้วบ่นพึมพำ

“คนพวกนั้นมาจากไหนหน่ะ?”

“นายน้อยจากตระกูลไหนกันนะ?”

“เราแค่ต้องการผลแห่งจิตต้นกำเนิดเท่านั้น ทำไมเราต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย?”

ชายคนหนึ่งกล่าวขึ้นอย่างหดหู่ ใบของเขามีแต่รอยช้ำ ทั้งยังปูดบวมจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม เขานั้นโดนหนักที่สุด

ถูกประเคนพายุหมัดเข้าใบหน้าทุกดอกจนถึงกับน้ำตาร่วงอาบ 2 แก้มคนเหล่านี้ประสบกับเหตุการณ์ที่น่าอนาถอย่างมาก พวกเขาคงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนเพื่อรักษาบาดแผล

‘ลู่ เปียว’และพรรคพวกออกตามหาร่องรอยของ’เนี่ย หลี่’และคนอื่นๆต่อ จนกระทั่งพวกเขาไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ ได้แต่เดินตรงไปข้างหน้า จนค่อยๆเข้าไปในส่วนลึกสุดในชั้นแรกของแดนมรณะ 9 ชั้น แม้ว่าในชั้นแรกจะค่อนข้างปลอดภัยแต่ก็ยังมีอันตรายซุกซ่อนอยู่มากมาย

บางที่ก็มีโครงกระดูดกองผุดขึ้นจากพื้น พวกนี้คือผู้เยี่ยมยุทธที่ได้ตายลงในแดนมรณะนี้ หลังจากที่ได้ดูดซับกลิ่นอายแห่งความตายมาเป็นเวลานาน ซากศพของพวกเขาก็ได้กลายเป็นปีศาจที่น่ากลัว

‘ต้วน เจี้ยน’เดินนำแล้วสังหารโครงกระดูกเหล่านั้นมาตลอดทาง คนอื่นๆก็ผสานเข้ากับจิตวิญญาณอสูรและเข้าร่วมต่อสู้

ในเวลานี้’เนี่ยหลี่’และกลุ่มของเขาได้ค่อยเดินลึกเข้าไปในแดนมรณะ 9 ชั้น

ทันใดนั้นเอง ‘เนี่ยหลี่’สัมผัสได้ถึงออร่าที่แข็งแกร่งเข้า มัแหล่งที่มาของมันอยู่ไม่ไกลนัก ออร่านี้เป็นของผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียน พร้อมกับพวกอีกสิบกว่าคน บินเลียดพื้นมุ่งหน้าลึกเข้าไปในชั้นแรก

“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนหลายคนอยู่แถวนี้?”

‘เนี่ย หลี่’ถามขึ้นขณะมองไปที่’เซี่ยวหยู่’

คิ้วของเซี่ยวหยู่ขมวดเล็กน้อย มันเป็นเรื่องแปลกนิดหน่อย สำหรับการที่ผู้เยี่ยมยุทธระดับเซียนหลายคนปรากฏตัวแถวนี้ มันอาจจะเป็นไปได้ว่าพวกเขารวมตัวกันเพื่อค้นหาบางอย่าง

“อัดข้าสิ”

‘เซี่ยวหยู่’ส่ายหัว

“ข้าก็คิดว่าท่านจะรู้ไปซะทุกอย่าง เฮ่อ!!!…ยังมีสิ่งที่ท่านไม่รู้อยู่สินะ”

‘เนี่ย หลี่’ยิ้ม’เซี่ยวหยู่’อับจนคำพูดไปชั่วขณะหนึ่ง

“เราควรจะไปดูสักหน่อย พวกเจ้าตามหลังข้ามาข้ารับรองได้ว่าพวกเจ้าจะปลอดภัย!”

‘เซี่ยวหยู่’กล่าวขึ้นขณะที่ก้าวไปด้านหน้า

‘เนี่ยหลี่’ครุ่นคิดแล้วมองไปที่’เอียจืออวิ๋น’และ’เสี่ยว หนิงเอ๋อ’ เขาพูเสียงเบาๆว่า

“เราจะตามเขาไปแล้วดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็อย่าไปเชื่อคำพูดของเขามากนัก ถ้าหากสถานการณ์เลวร้ายขึ้นมา พวกเราค่อยหนี”

ได้ยิน’เนี่ย หลี่’พูด ‘เอีย จืออวิ๋น’จึงไม่สามารถยับยั้งปากของนางได้และหัวเราะออกมา ‘เสี่ยว หนิงเอ๋อ’ยังยิ้มด้วยอีกคน ‘เนี่ย หลี่’นี่ช่างเจ้าเล่ห์อยู่เสมอ น้อยคนนักที่จะทำให้เขาเสียผลประโยชน์

‘เนี่ย หลี่’ ‘เอีย จืออวิ๋น’และ’เสี่ยว หนิงเอ๋อ’ เดินตามอยู่ข้างหลัง ‘เซี่ยวหยู่’ เลยชะลอฝีเท้า แล้วกลับไปรวมกลุ่มกับทั้ง 3 คน

ในส่วนลึกของชั้นแรกในแดนมรณะ 9 ชั้น

เสียงคำรามอันน่ากลัว

ดังไปทั่วภายในชั้นแรกของแดนมรณะ 9 ชั้น ขณะที่ผืนดินสั่นสะเทือน

คลืนนนนน!!!   คลืนนนนน!!!   คลืนนนนน!!!

หลุมศพขนาดใหญ่ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน ขณะที่โครงกระดูกนับมากมายนับไม่ถ้วนพังทลายลงมา โลงศพค่อยๆลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ด้านบนของโลงศพมีโครงกระดูกมนุษย์กองอยู่เต็มไปหมด

ด้านข้างโลงเต็มไปด้วยลวดลายจารึกอาคม ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่ชั่วร้ายและน่ากลัว

ปรากฏร่างอันใหญ่โตลอยขึ้นเหนือโลงศพ มันคือโครงกระดูกขนาดมหึมาที่เต็มไปด้วยกระดูกที่แหลมคมงอกออกมาทั่วร่าง
ซึ่งกระดูกแหลมๆนั่น บางครั้งก็เปลี่ยนรูปร่างเป็นปีกหรือเกราะ พลังแห่งสัจธรรมอันไร้ขีดจำกัดโคจรรอบร่างนั้น ประมาณว่าบอสจุติแล้ว

ผู้เยี่ยมยุทธประมาณ

50-60 คนยืนอยู่กลางอากาศห่างออกไป นี่ก็รวมตี้ รอตีบอส

ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความดีใจและตื่นเต้น

“มันคือเศษเสี้ยวของจิตวิญญาณเทพแห่งความตาย!!!!”

เทพแห่งความตาย เป็นเทพวิญญาณที่ถือครองพลังสัจธรรมแห่งความตาย อย่างไรก็ตาม ไม่กี่ล้านปีก่อนเขาก็หายตัวไปดื้อๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาไปที่ใด บ้างก็บอกว่าเทพแห่งความตายถูกสังหารในการต่อสู้กับเจ้านรกานต์

เจ้านรกานต์?…พี่จะเทพเกินไปละ!!!

อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือ ในบรรดาสัจธรรมทั้งหมด สัจธรรมแห่งความตายเป็นรองก็แต่สัจธรรมแห่งกาลและห้วงอวกาศกับสัจธรรมแห่งนรกานต์

ถามยังยากรับรับมือสำหรับสัจธรรมอื่นๆ โดยส่วนมากไม่มีใครเชื่อว่าเทพแห่งความตายจะถูกทำลายจริงๆ

ไม่มีใครคิดว่าพวกเขาจะพบกับจิตวิญญาณเทพที่แตกสลายของเทพแห่งความตายในสถานที่เช่นนี้!!!

…จบตอน…

แปลโดย…ไอยรา  ณ
กุญชร

ที่มา:

ตอนที่แล้วตอนต่อไป
comments